Wednesday, October 31, 2012

RMF


              หลังจากเหน็ดเหนื่อยในการทำงานประจำ ที่เดียวนี้ต้องทำงานถึงวันละสิบสองชั่วโมงต่อวัน ประกอบกับรูปแบบงานเป็น แบบนั่งโต๊ะ ไม่ค่อยได้ออกแรงมากนัก ส่งผลทำให้หนึ่งปีที่ผ่านมาน้ำหนักเพิ่มขึ้นถึงยี่สิบกิโลกรัม ร่วมกับมีอาการกำเริบของโรคไซนัสอักเสบเรื้อรังจนถึงขั้นต้องทำการผ่าตัด ทำให้พักหลังเริ่มมองว่าการมีชีวิตทำงานประจำไปเรื่อยๆคงไม่ดีแน่ หากยังไม่ได้มีเวลาออกกำลังกาย หากอายุเพิ่มมากขึ้นโรคภัยไข้เจ็บอื่นๆคงจะเข้ามาสวัสดีอยู่เรื่อยไป

             แล้วเราจะทำยังไงละไม่ทำงานก็ไม่มีกิน แล้วเราจะอยู่ได้โดยไม่ต้องทำงานได้ไหม พักหลังๆเริ่มคิดแบบนี้อยู่เรื่อยไป จนวันหนึ่งได้เจอกับคำว่า อิสรภาพทางด้านการเงิน (financial freedom) ซึ่งหลายๆคนให้ความหมายแตกต่างกันไป แต่สำหรับผมแล้วแปลง่ายๆๆ ภาษาชาวบ้าน มีตังให้กินให้ใช้โดยไม่เดือดร้อนโดยไม่ต้องพึ่งรายได้จากการทำงาน (โอ้ นี่แหละชีวิตในฝันที่อยากได้ )

            แล้วจะทำให้มีอิสรภาพทางด้านการเงินได้ยังไงละ ชีวิตตอนนี้ก็ลูกจ้างนี่ ที่บ้านก็ไม่ได้ร่ำรวยมาจากไหน แถมค่อนข้างยากจนด้วยสิ หลังจากนั้นก็เริ่มหาความรู้เพิ่มเติมหลังจากได้อ่านมาจาก set.or.thเขาแนะนำให้คำนวนดูว่าเรามีโอกาสมีอิสรภาพทางการเงินเยอะแค่ไหน เขาแนะนำว่าก่อนจะรวยก็ต้องอยู่รอดให้ได้ก่อนแล้วมันคิดกันยังไง

อัตราส่วนความอยู่รอด = รายได้จากการทำงาน + รายได้จากสินทรัพย์
                        รายจ่าย

        ลองคำนวนของตัวเองคร่าวๆๆ รายได้จากงานประจำหลังหักภาษีประมาณ 700,000 บาทต่อปี ผ่อนรถเดือนละ 30,000 บาทและไม่มีรายได้จากสินทรัพท์อื่นเลย ส่วนรายจ่ายส่วนตัวเลี้ยงดูบิดามารดาประมาณ 380,000 บาทต่อปี

อัตราส่วนความอยู่รอด =700,000+0
680,000

                                      =    1.03
       หากค่าดังกล่าวมากกว่าหนึ่งแสดงว่าอยู่รอดได้โดยหากค่าสูงกว่าหนึ่งมากๆๆจะยิ่งดีซึ่งชนชั้นกลางทั่วไปมักเกินหนึ่งไม่มาก หลังจากพบว่าตัวเองอยู่รอดแล้วจะมีตัววัดได้ไหมว่าเมื่อไหร่จะร่ำรวยโดยเราจะใช้อัตราส่วนความมั่งคั่ง

อัตราส่วนความมั่งคั่ง  = รายได้จากสินทรัพย์
          รายจ่าย

       หลังจากสำรวจตัวเองพบว่าไม่มีรายได้จากสินทรัพย์ใดเลยดังนั้นอัตราส่วนความมั่งคั่งของผมเท่ากับศูนย์ซึ่งหมายความว่ายังไม่มีอิสรภาพทางด้านการเงินดังที่คาดหวังไว้ซึ่งหากค่าดังกล่าวมากกว่าหนึ่งแสดงถึงว่ามีอิสรภาพทางด้านการเงินแล้ว นอกจากนี้มันยังกระตุ้นให้เราสำนึกได้ว่าหากวันไหนเราไม่ทำงานเราอยู่ไม่รอดแน่เลยดังนั้นจึงได้ตั้งเป้าหมายไว้เพื่อให้มีรายได้จากสินทรัพย์ขึ้นดังนี้
เพิ่มเงินออม ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีเงินออมประมาณปีละสองหมื่นโดยตั้งเป้าหมายจะออมให้ได้สิบเปอร์ของรายได้นั้นคือต้องให้ได้ 60,000 บาทต่อปี

           ตอนนี้อายุสามสิบสามปี เหลืออีกยี่สิบเจ็ดปีจะเกษียนจะเก็บเงินได้เท่ากับ 1,620,000 บาท เงินเท่านี้คงจะไม่พอกินแน่หากฝากประจำ 3 เปอร์เซ็นต่อปีทบดอกไปเรื่อยๆก็คงไม่ชนะเงินเฟ้อที่น่าจะอยู่ที่ประมาณ 5 เปอร์เซนต่อปี ดังนั้นเราควรศึกษาการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนมากกว่า 5 เปอร์เซนต์ต่อปี

          แต่การออมเงินอย่างเดียวไม่ตอบคำถามที่ว่าต้องการมีอิสระภาพทางด้านการเงินโดยส่วนตัวดังเป้าไว้ว่า จะทำให้มีอิสระภาพทางการเงินภายในสิบปี ตอนอายุสี่สิบสี่ปี แสดงว่ามีเวลาเก็บเงินสิบปีได้เงินประมาณ 1,180,780 (คำนวนโดยการใช้ดอกฝากประจำ 3 เปอร์เซ็นต่อปี) และหากลงทุนต่อในปีที่สิบเอ็ดในเงินฝากประจำ ร้อยละสามต่อปี จะได้ดอกปีละ 35,423 บาทต่อปีซึ่งหากตอนนั้นเลิกทำงานแสดงว่ามีรายได้ 2952 บาทต่อปี มันจะพอจ่ายไหมนี่และหากนำมาคำนวนความมั่งคั่ง โดยที่รายจ่ายยังเท่ากับ 680,000 บาทต่อปีจะได้เท่ากับ 0.052 นั้นหมายความว่ายังไม่มีอิสรภาพทางการเงินดังนั้นการออมเงินโดยการฝากประจำอย่างเดียวเป็นเวลาสิบปีด้วยเงินปีละหกหมื่นบาทไม่สามารถทำให้เกิดอิสรภาพทางการเงินได้ และนอกจากนั้นไม่สามารถอัตราเงินเฟ้อได้จึงควรนำเงินออมที่ได้ไปลงทุนอย่างอื่น
        จากการศึกษาพบว่า สิ่งที่สามารถตอบโจทย์เพื่อให้มีอิสรภาพทางการเงินได้ภายในสิบปีอาจได้จากตลาดหุ้น โดยการลงทุนในหุ้นหรือกองทุนที่ให้ผลตอบแทนชนะเงินเฟ้อ

นอกจากนี้เรามีวิธีการคำนวน ว่าเราจะมีเงินเป็นสองเท่าจากเริ่มต้นโดยใช้กฏของเลข 72
 
จำนวนปีที่จะมีเงินเป็น 2 เท่าของเงินต้น =              72
    อัตราดอกเบี้ยต่อปี

         โดยหากลงทุนโดยได้อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 7.2 ต่อปี จะใช้เวลาสิบปีที่เงินต้นจะกลายเป็นสองเท่า
โดยหากลงทุนโดยได้อัตราดอกเบี้ยร้อยละ  18 เปอร์เซนต์ต่อปีจะใช้เวลาแค่ 4 ปี ที่เงินต้นจะเพิ่มเป็นสองเท่า ซึ่งในปัจจุบันการลงทุนที่ให้ได้ดอกร้อยละ 18 เปอร์เซนต์ต่อปี ก็คงได้จากการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์อย่างเดียว

          ส่วนตัวตั้งเป้าเอาไว้ว่าอยากได้มีเงิน 12 ล้านบาทภายในเวลาต่อปี หลังจากนั้นให้เงินดังกล่าวได้ผลตอบแทนร้อยละสิบต่อปี คือได้ดอกปีละ 1.2 ล้านบาทต่อปี เฉลี่ยเป็นเดือนละ 120,000 บาท ซึ่งการจำทำดังกล่าวได้ผมคิดว่ามีความจำเป็นที่ต้องเรียนรู้การลงทุนต่อ

           หมายเหตุ ผู้แต่งเขียนบทความนี้ขึ้นมาตามความรู้ความเข้าใจ และเพื่อย้ำเตือนให้ตระหนักถึงเป้าหมาย หากมีข้อผิดพลาดสามารถชี้แนะได้ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ ผู้แต่งหวังว่าบทความนี้ได้มีประโยชน์ต่อผู้อ่านบ้างเพื่อกระตุ้นให้ฉุกคิดถึงความจำเป็นของการออมและการลงทุนเพื่ออนาคต

Tuesday, October 23, 2012

เลือกโปรโมชั่นเงินฝากธนาคาร

 แบงก์ดาหน้าดึงเงินฝาก งัดดอกเบี้ยสูงจูงใจ ปรับบัญชีออมทรัพย์เป็นกึ่งฝากประจำ ไม่ต้องเสียภาษี แถมได้ดอกเบี้ยสูงกว่าปกติ นักบริหารเงินแนะอย่าดูที่ดอกเบี้ยสูงเพียงอย่างเดียว ต้องหาค่าเฉลี่ยของดอกเบี้ยรวม พร้อมทั้งเงื่อนไขอื่นที่พ่วงเข้ามาอ่าน-สอบถามให้ละเอียด หากพลาดแล้วอาจถูกปรับหรือลดดอกเบี้ยลง
      
            ในระยะนี้ผู้มีเงินออมหลายท่านคงได้เห็นผลิตภัณฑ์เงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์เชิญชวนให้ผู้มีเงินออมนำเงินไปฝากไว้กับธนาคารเหล่านั้น ตัวเลขอัตราดอกเบี้ยที่เสนอให้สูงกว่าปกติหลายเท่าตัว ทำให้หลายคนตาลุก อยากที่จะนำเงินไปฝากไว้กับธนาคารแห่งนั้น
      
            ขณะที่เงินฝากออมทรัพย์แข่งขันกันที่อัตราดอกเบี้ยสูงถึง 3% สูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากประจำปกติมากกว่าเท่าตัว
      
            จากการสำรวจตลาดเงินฝากของ "ASTV ผู้จัดการรายวัน" พบว่า การแข่งขันแย่งเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ แบ่งเป็น 2 บัญชี คือ บัญชีเงินฝากประจำและบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ (บางแห่งใช้คำว่าบัญชีเงินฝากเผื่อเรียก)
      
            สำหรับบัญชีออมทรัพย์ในระยะนี้มี 2 ธนาคารที่แข่งขันกันคือธนาคารทหารไทย (TMB) และธนาคารกรุงศรีอยุธยา ส่วนของธนาคารออมสินเป็นบัญชีเงินฝากเผื่อเรียกพิเศษที่มีระยะเวลากำหนดไว้
      
            โดยธนาคารกรุงศรีฯ ได้เสนอเงินฝากพิเศษกรุงศรี ออมทรัพย์มีแต่ได้ เปิดบัญชีขั้นต่ำ 500 บาท ไม่กำหนดยอดเงินคงเหลือขั้นต่ำในบัญชี สามารถถอนได้ 2 ครั้งต่อเดือน ไม่คิดค่าธรรมเนียม ไม่จำกัดจำนวนบัญชีที่ลูกค้าสามารถเปิดได้ต่อคน อัตราดอกเบี้ย 2.9%
      
            ขณะที่ธนาคารทหารไทยมีบัญชีเงินฝากไม่ประจำ ทีเอ็มบี ดอกเบี้ยสูง ซึ่งเป็นบัญชีพิเศษที่เคยทำมาก่อนหน้านี้ แต่ทางธนาคารแจ้งว่า เพื่อเป็นการฉลองความสำเร็จกับบัญชีที่คนกว่าครึ่งล้านเปิดใช้ โดยเสนออัตราดอกเบี้ยพิเศษ 3% จนถึง 31 กรกฎาคม 2555 โดยถอนเมื่อไรก็ได้และไม่มีขั้นต่ำ
      
       ตัวเลขเรียกแขก
            “บัญชีออมทรัพย์แบงก์กรุงศรีให้ 2.9% ทหารไทยให้ 3% ใครเห็นตัวเลขนี้คงตาลุก เพราะฝากออมทรัพย์ไม่ต้องเสียภาษี คือรับเต็มๆ ดอกเบี้ยอัตรานี้สูงกว่าเงินฝากประจำระยะยาวอีก”
      
            นักบริหารเงินให้คำแนะนำในเรื่องนี้ว่า ตัวเลขดังกล่าวถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับดอกเบี้ยออมทรัพย์ปกติที่ 0.75% ที่สำคัญคือไม่ต้องเสียภาษีจากอัตราดอกเบี้ยเพราะไม่ถือเป็นบัญชีเงินฝากประจำ คือธนาคารได้พัฒนาผลิตภัณฑ์นี้มาโดยการเอาบัญชีเงินฝากมาบวกด้วยอัตราดอกเบี้ยสูงของบัญชีเงินฝากประจำ เรียกว่าบัญชีเงินฝากไม่ประจำ จึงมีสภาพเป็นบัญชีออมทรัพย์ที่ได้ดอกเบี้ยสูง
      
            วันนี้ผลิตภัณฑ์ทางการเงินได้พัฒนามากขึ้น มีการนำเอาหลักทางการตลาดเข้ามาใช้มากขึ้นเพื่อดึงดูดใจลูกค้า ไม่แตกต่างจากสินค้าประเภทอื่น ผู้บริโภคก็ต้องปรับตัวให้ทันกับการตลาดของแบงก์พาณิชย์ด้วยเช่นกัน ตัวเลขของผลตอบแทนที่สูงกว่าปกตินั้น ย่อมจะต้องมีเงื่อนไขอื่นพ่วงเข้ามาด้วย
      
            ดอกเบี้ยที่สูงเป็นพิเศษเท่ากับแบงก์ต้องมีต้นทุนมากกว่าปกติ ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละแบงก์ว่าทำการตลาดด้วยดอกเบี้ยสูงด้วยวัตถุประสงค์ใด บางแห่งถือว่าต้นทุนที่เพิ่มขึ้นเป็นส่วนหนึ่งของงบประชาสัมพันธ์ธนาคารไปในตัว หรืออาจต้องการขยายฐานของธนาคารให้มากขึ้นกว่าเดิม
      
       ถามละเอียดก่อนฝาก
            การนำเอาบัญชีเงินฝากออมทรัพย์มาเพิ่มด้วยดอกเบี้ยสูง จะเห็นได้ว่ามีธนาคารทหารไทยและธนาคารกรุงศรีอยุธยาซึ่งเป็นธนาคารขนาดกลาง ที่ต้องการเพิ่มฐานลูกค้าให้มากยิ่งขึ้น ขณะที่แบงก์ขนาดใหญ่ยังไม่ลงมาเล่นในเกมนี้
      
            ธนาคารทหารไทยที่เปิดบัญชีเงินฝากไม่ประจำครั้งแรกให้อัตราดอกเบี้ย 2.5% ถือว่าประสบความสำเร็จไม่น้อยกับมากกว่า 5 แสนบัญชีที่เปิดเพิ่ม จึงได้ออกโปรโมชันให้ดอกเบี้ย 3% มากระตุ้นต่อเนื่องในช่วง 1 มิถุนายน-31 กรกฎาคม 2555
      
           ปัจจุบันดอกเบี้ยปกติของบัญชีเงินฝากไม่ประจำของธนาคารทหารไทยลดเหลือ 2% ความหมายของโปรโมชันดังกล่าวคือให้ดอกเบี้ย 3% เฉพาะ 2 เดือนที่มีโปรโมชันทั้งลูกค้าบัญชีเก่าและเปิดบัญชีใหม่ เมื่อพ้นจากสิ้นเดือนกรกฎาคมไปแล้วจะปรับดอกเบี้ยมาอยู่ที่ 2%
      
            สิ่งที่ทหารไทยทำคือให้ดอกเบี้ยปกติบวกด้วยโบนัสอีก 1% โดย 1% นี้ให้เฉพาะ 2 เดือนเท่านั้น เช่น ถ้าไปฝากเงินทั้งบัญชีเก่าและเปิดบัญชีใหม่ในวันที่ 31 กรกฎาคม ก็จะได้ดอกเบี้ย 2+1% แค่ 1 วัน ดังนั้นใครที่ใช้โอกาสนี้ฝากก่อนก็จะได้ดอกเบี้ยพิเศษในระยะเวลาที่นานกว่า
      
            บัญชีเงินฝากดังกล่าวกำหนดไว้ไม่สามารถทำบัตรเอทีเอ็มได้ การทำรายการใน 1 เดือนเปิดให้ทำได้ 2 ครั้ง หากมีครั้งที่ 3 จะคิดรายการละ 50 บาท ลูกค้าที่ปิดบัญชีก่อนวันที่ 4 สิงหาคม 2555 จะไม่ได้รับดอกเบี้ยโบนัส จำกัดลูกค้าในการเปิดบัญชีได้เพียง 1 บัญชีเท่านั้น
      
            สำหรับธนาคารกรุงศรีฯ กับบัญชีออมทรัพย์มีแต่ได้ ดอกเบี้ย 2.9% กำหนดเงินฝากขั้นต่ำไว้ที่ 500 บาท กรณีนี้สามารถทำรายการผ่านบัตรเอทีเอ็มได้ กำหนดทำรายการถอนได้ 2 ครั้งต่อเดือน ตั้งแต่ครั้งที่ 3 คิดค่าบริการ 50 บาท
            ส่วนอัตราดอกเบี้ยที่ 2.9% จะให้เฉพาะลูกค้าที่มีเงินฝากตั้งแต่ 1 แสนบาท-10 ล้านบาท ส่วนลูกค้าที่มีเงินฝากต่ำกว่า 1 แสนบาทจะได้ดอกเบี้ย 1% แต่ไม่จำกัดจำนวนบัญชีต่อคน
            ธนาคารออมสินเงินฝากเผื่อเรียกพิเศษ เงินฝากเผื่อเรียกพิเศษ 99 วัน รูปแบบใหม่ ที่ให้ดอกเบี้ยสูงถึง 2.75% เงินฝากเผื่อเรียกพิเศษ 109 วัน รูปแบบใหม่ ที่ให้ดอกเบี้ยสูงถึง 2.85% เงินฝากเผื่อเรียกพิเศษ 11 เดือน รูปแบบใหม่ ที่ให้ดอกเบี้ยสูงถึง 3%
      
       ให้เลือกประจำสั้น-ยาว
            อีกประเภทหนึ่งคือบัญชีเงินฝากประจำ ในกลุ่มนี้จะมีธนาคารขนาดใหญ่เข้ามาทำโปรโมชันดึงดูดใจลูกค้า บัญชีเงินฝากธนาคารไทยพาณิชย์ที่เพิ่งหมดโปรโมชันไปคือบัญชีเงินฝากประจำได้กับได้ 13 เดือน รับดอกเบี้ยสูงสุด 13% ธนาคารจะจ่ายดอกเบี้ยเป็นราย 3 เดือน จำนวน 4 ครั้ง เดือนที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 1.75% ต่อปี เดือนที่ 4-6 อัตราดอกเบี้ย 2% ต่อปี เดือนที่ 7-9 อัตราดอกเบี้ย 3% ต่อปี เดือนที่ 10-12 อัตราดอกเบี้ย 4% ต่อปี และ 1 เดือนสำหรับงวดสุดท้าย จะได้รับอัตราดอกเบี้ยสูงถึง 13% ต่อปี คิดเป็นอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยทั้งโครงการเท่ากับ 3.48%
      
            รูปแบบนี้ใช้กันมาโดยตลอดเป็นดอกเบี้ยแบบขั้นบันได ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดให้ธนาคารต้องแจ้งอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยให้กับลูกค้าได้ทราบไว้ด้วย แม้ว่าการเชิญชวนจะบอกว่าฝาก 13 เดือน ดอกเบี้ยสูงสุด 13% เป็นอักษรตัวโตเพื่อดึงดูดความสนใจ แต่ดอกเบี้ยเฉลี่ยจะอยู่ที่ 3.48% กับระยะเวลาฝากคือ 1 ปี 1 เดือน
      
            ธนาคารธนชาตมีบัญชีเงินฝากประจำ 3 ประเภทให้เลือกคือ เงินฝากประจำพิเศษ 88 วัน ดอกเบี้ย 2.88% เงินฝากประจำพิเศษ 8 เดือน ดอกเบี้ย 3.3% เงินฝากประจำ 11 เดือน ดอกเบี้ย 3.4% และเงินฝากประจำพิเศษ SUPER GROW UP 15 เดือน ดอกเบี้ยขั้นบันได ช่วงเดือนที่ 1-5 ดอกเบี้ย 3.20% เดือนที่ 6-10 ดอกเบี้ย 3.70% เดือนที่ 11-15 ดอกเบี้ย 4.20% หรืออัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3.70% ต่อปี
      
            ธนาคารกรุงไทยออกเงินฝากประจำใจถึง อายุ 22 เดือน ดอกเบี้ยสูงถึง 4% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุกเดือน ฝากขั้นต่ำ 1 หมื่นบาท อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวอาจเป็นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่สูงที่สุดในปีนี้ เหมาะสำหรับลูกค้าที่ต้องการได้รับผลตอบแทนสูงสำหรับเงินฝากระยะยาว
      
            นอกจากนี้ยังได้ขยายระยะเวลารับดอกเบี้ยพิเศษเงินฝากประจำตามใจ สูงสุด 3.35% ต่อปี ไปจนถึงวันที่ 31 กรกฎาคม รับฝากขั้นต่ำครั้งละ 50,000 บาท โดยลูกค้าสามารถเลือกรับอัตราดอกเบี้ยตามระยะเวลาที่ฝากตั้งแต่ 7-365 วัน โดยฝาก 7-30 วัน รับดอกเบี้ยในอัตรา 0.80% ต่อปี ฝาก 31-60 วัน รับ 1.25% ต่อปี ฝาก 61-90 วัน รับ 1.7% ต่อปี ฝาก 91-120 วัน รับ 2% ต่อปี ฝาก 121-180 วัน รับ 2.3% ต่อปี ฝาก 181-270 วัน รับ 2.6% ต่อปี ฝาก 271-300 วัน รับ 3.25% ต่อปี และฝาก 301-365 วัน รับดอกเบี้ยในอัตรา 3.35% ต่อปี
      
            “เงินฝากประจำตามใจไม่ใช่แบบขั้นบันได ผู้ฝากเงินสามารถเลือกได้ว่าต้องการจะฝากกี่วันก็รับดอกเบี้ยตามช่วงเวลาที่ธนาคารกำหนดให้ เช่น ต้องการฝากไม่ถึงปี แค่ 315 วันก็รับดอกเบี้ยไป 3.35% หรือต้องการฝากแค่ 3 เดือนได้ดอกเบี้ย 1.7%” ฝ่ายเงินฝากธนาคารกรุงไทยกล่าว
      
            นอกจากนี้ยังมีบัญชีเงินฝากประจำ 5 เดือนของธนาคารออมสินให้อัตราดอกเบี้ย 3.4% เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับคนที่ไม่ต้องการฝากเงินในระยะยาว
      
            ล่าสุดธนาคารกรุงเทพได้เปิดตัวบัญชีเงินฝาก ระยะเวลา 11 เดือน อัตราดอกเบี้ย 3% เปิดบัญชีด้วยจำนวนเงินขั้นต่ำ 200,000 บาท และนำฝากแต่ละยอดเงินฝากไม่ต่ำกว่า 200,000 บาท จนถึง 12 กรกฎาคม 2555 และเงินฝากประจำพิเศษระยะเวลา 4 เดือน อัตราดอกเบี้ย 2.625% ได้ขยายระยะเวลาการรับฝากออกไปจนถึง 25 มิถุนายน 2555 โดยยังคงเงื่อนไขเดิมด้วยยอดเงินเปิดบัญชีขั้นต่ำเพียง 200,000 บาท
      
       รู้เหลี่ยมเงินฝาก
            ฝ่ายผลิตภัณฑ์เงินฝากของธนาคารพาณิชย์แนะนำว่า สิ่งหนึ่งที่ผู้มีเงินออมพึงทราบไว้คือ ดอกเบี้ยเงินฝากแบบออมทรัพย์หรือฝากเผื่อเรียก ไม่ต้องเสียภาษี 15% จากดอกเบี้ยที่ได้เหมือนกับบัญชีเงินฝากประจำ แต่ตัวอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวไม่กำหนดระยะเวลาแน่นอน ขึ้นอยู่กับธนาคารจะเป็นผู้กำหนด
      
            แตกต่างจากบัญชีเงินฝากประจำที่มีอัตราดอกเบี้ยกำหนดไว้แน่นอนจนถึงครบกำหนด เช่น เงินฝากประจำดอกเบี้ย 4% เมื่อหักภาษีแล้วผลตอบแทนสุทธิจะอยู่ที่ 3.4% กับระยะเวลาฝาก 22 เดือนดอกเบี้ยก็จะให้ในอัตรานี้ตลอดจนครบระยะเวลารับฝาก
      
            ส่วนบัญชีฝากประจำที่ให้อัตราดอกเบี้ยขั้นบันได จะต้องหาอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยก่อนซึ่งส่วนใหญ่ธนาคารจะคิดมาให้ แต่ตัวข้อความอาจจะเล็กไปบ้าง จากนั้นต้องนำมาลบด้วยภาษีที่จะต้องถูกหัก 15% จึงจะได้ดอกเบี้ยสุทธิ หากลองคำนวณแล้วจะสามารถเปรียบเทียบได้ว่าเงินฝากที่ให้ผลตอบแทนที่ดีนั้นควรจะเป็นที่ใด
      
            บัญชีเงินฝากประจำพิเศษจะกำหนดให้ผู้เปิดบัญชีต้องเปิดบัญชีออมทรัพย์ปกติไว้คู่กันเพื่อโอนดอกเบี้ยที่ได้รับ และเมื่อครบกำหนดก็จะโอนเงินต้นกลับไปไว้ที่บัญชีออมทรัพย์เช่นกัน ดังนั้น อย่าหวังว่าดอกเบี้ยที่ได้จะนำไปทบต้นแล้วฝากต่อในบัญชีเดิมเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่มากขึ้น
      
            นับจากนี้ผู้มีเงินออมจะตัดสินใจโดยดูจากอัตราดอกเบี้ยสูงเพียงอย่างเดียว หรือเห็นจากโฆษณาแล้วตัดสินใจเลยอาจจะทำให้ท่านเสียประโยชน์จากการออมเงินได้ ดีที่สุดคือการโทรศัพท์ไปสอบถามหรือขอเอกสารรายละเอียดนำมาศึกษาก่อนตัดสินใจ และควรทำการเปรียบเทียบกับโปรโมชันเงินฝากของธนาคารอื่น
      
            ตรวจสอบเรื่องของเงื่อนไขอื่นๆ เช่น เงินฝากขั้นต่ำ เงินคงค้างในบัญชีว่ามีหรือไม่ ถ้ามีเป็นจำนวนเงินเท่าใด กรณีการถอนก่อนกำหนดกับอัตราดอกเบี้ยว่าจะได้ในอัตราใด เพราะบางแห่งอาจจะให้ดอกเบี้ยเฉพาะช่วงเวลาที่ฝาก หรือบางแห่งอาจปรับดอกเบี้ยลงเหลือเท่ากับดอกเบี้ยฝากออมทรัพย์ปกติ และค่าธรรมเนียมอื่นๆ เพราะไม่เช่นนั้นผลตอบแทนที่ท่านคาดว่าจะได้รับอาจไม่เป็นไปตามที่หวังหากทำผิดเงื่อนไขของธนาคาร

อ้างอิงจาก http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9550000072167

Saturday, October 20, 2012

ประเภทกองทุน

ด้วยกองทุนรวมเป็นเสมือนหนึ่งเครื่องมือในการลงทุนของผู้ลงทุน ดังนั้น จึงต้องมีความหลากหลายเพื่อให้มีความเหมาะสมกับแต่ละลักษณะของผู้ลงทุน โดยทั่วไปกองทุนรวมสามารถแบ่งออกได้ ดังนี้
  1. แบ่งตามประเภทของการขายคืนหน่วยลงทุน

    1. กองทุนปิด (Closed-End fund)
    2. กองทุนรวมที่มีหน่วยลงทุนคงที่ ไม่เพิ่มขึ้นและไม่ลดลง และเปิดให้มีการจองซื้อเพียงครั้งเดียวเมื่อจัดตั้งโครงการ มีกำหนดอายุโครงการแน่นอน และบริษัทจัดการไม่รับซื้อคืนหน่วยลงทุนก่อนครบกำหนดอายุโครงการ ผู้ถือหน่วยลงทุนไม่สามารถไถ่ถอนหน่วยลงทุนก่อน ครบกำหนดอายุโครงการได้ โดยส่วนใหญ่แล้ว อายุโครงการของกองทุนรวมในประเทศไทย จะมีกำหนด 3 ปี 5 ปี หรือ 10 ปี และเพื่อเพิ่มสภาพคล่อง ให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุน บริษัทจัดการอาจนำหน่วยลงทุนของกองทุนปิดไปจดทะเบียนซื้อขายในตลาดรอง(ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย) หรือจัดให้มี ตัวแทนจัดการซื้อขาย (Market maker)
    3. กองทุนเปิด (Open-End fund)
กองทุนรวมที่สามารถเพิ่มหรือลดหน่วยลงทุนได้ ไม่มีกำหนดอายุโครงการ และบริษัทจัดการรับซื้อคืนหน่วย ลงทุนตามกำหนดเวลาที่ระบุไว้ในหนังสือชี้ชวน เช่น ทุกวัน ทุกสัปดาห์ ทุกสองสัปดาห์ ทุกเดือน ทุกไตรมาส หรือทุกหกเดือน กองทุนเปิดจึงเป็นที่นิยม มากกว่ากองทุนปิด เพราะมีสภาพคล่องมากกว่า
ตารางเปรียบเทียบกองทุนปิดและกองทุนเปิด
  กองทุนปิด กองทุนเปิด
1. จำนวนหน่วยลงทุน กำหนดแน่นอน ไม่เพิ่ม ไม่ลด สามารถเพิ่มหรือลดลงได้
2. อายุโครงการ มีกำหนดแน่นอน ไม่มีกำหนด (evergreen)
3. การซื้อหน่วยลงทุน เปิดให้จองซื้อครั้งเดียวเมื่อเริ่มโครงการหากประสงค์ซื้อเพิ่มในภายหลัง ต้องเข้าซื้อในตลาดรอง (กรณีบริษัทจัดการนำหน่วยลงทุนเข้าจดทะเบียนซื้อขาย) หรือแสดงความจำนงกับตัวแทนขาย (market maker) ที่บริษัทจัดการแต่งตั้ง สามารถซื้อเพิ่มจำนวนหน่วยกับบริษัทจัดการโดยตรง หรือติดต่อผ่านตัวแทนสนับสนุนการขาย ที่บริษัทจัดการแต่งตั้ง ทั้งที่เป็นบุคคลธรรมดา และนิติบุคคล เช่น ธนาคาร หรือบริษัทหลักทรัพย์ ซึ่งจะทำหน้าที่ส่งคำสั่งซื้อมายังบริษัทจัดการ
4. การขายคืนหน่วยลงทุน บริษัทจัดการไม่รับซื้อคืนหน่วยลงทุนจนกว่าจะครบอายุโครงการ หากผู้ลงทุนมีความจำเป็นต้องใช้เงิน ต้องขายหน่วยลงทุนที่ถือไว้ในตลาดรองในราคาตลาดให้แก่ผู้ประสงค์ซื้อ บริษัทจัดการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนตามกำหนดเวลาที่ระบุไว้ในหนังสือชี้ชวน (รายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน) ในราคาเท่ากับมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ หักด้วยค่าธรรมเนียม(ถ้ามี)
5. การจดทะเบียนซื้อขาย นิยมจดทะเบียนซื้อขายหน่วยลงทุนในตลาดรอง เช่น ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ไม่นิยมจดทะเบียนซื้อขายหน่วยลงทุนในตลาดรอง เพราะสามารถซื้อขายผ่านตัวแทนสนับสนุนการขายได้อยู่แล้ว

  • แบ่งตามนโยบายการลงทุน 10 แบบมาตรฐานของสำนักงาน ก.ล.ต.
    1. กองทุนรวมตราสารแห่งทุน (Equity fund)
    2. กองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งตราสารทุน โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม บริษัทจัดการต้องรายงานค่าเฉลี่ยการถือครองตราสารทุนให้สำนักงาน ก.ล.ต. ทราบทุกรอบระยะเวลาสามเดือน หกเดือน เก้าเดือน และสิบสองเดือนของรอบบัญชีกองทุน หากค่าเฉลี่ยการถือครองตราสารทุนไม่ถึงร้อยละ 65 ในรอบระยะเวลาใด ให้บริษัทจัดการแสดงเหตุผลโดยชัดเจน เพื่อที่สำนักงาน ก.ล.ต. จะได้นำไปเปิดเผยให้แก่ผู้ลงทุนและผู้ที่สนใจลงทุนทราบต่อไป โดยทั่วไปแล้ว กองทุนรวมตราสารแห่งทุน มีความเสี่ยงสูงกว่ากองทุนรวม ที่มีนโยบายลงทุนในตราสารประเภทอื่น จึงเหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ยอมรับความเสี่ยงได้สูง และควรลงทุนเพื่อหวังผลที่ดีกว่าในระยะยาว
    3. กองทุนรวมตราสารแห่งหนี้ (General fixed income fund)
    กองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนในหรือมีไว้เฉพาะเงินฝาก หรือหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่น หรือการหาดอกผลโดยวิธีอื่นตามที่สำนักงาน ก.ล.ต. กำหนดหรือให้ความเห็นชอบให้กองทุนประเภทดังกล่าวลงทุนได้ ห้ามมิให้กองทุนรวมตราสารแห่งหนี้ลงทุนหรือ มีไว้ซึ่งตราสารทุนหรือตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน (หุ้นกู้แปลงสภาพ) ยกเว้นแต่สำนักงาน ก.ล.ต. จะพิจารณาอนุญาต เมื่อมีผู้ให้คำรับรองที่น่าเชื่อถือได้ว่าจะเป็นผู้รับ ซื้อตราสารทุนหลังการแปลงสภาพนั้นออกไปจากกองทุนโดยทั่วไปแล้ว กองทุนรวมตราสารแห่งหนี้ มีความเสี่ยงน้อยกว่ากองทุนรวมที่มีนโยบาย ลงทุนในตราสารทุน จึงเหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ยอมรับความเสี่ยงได้น้อยกว่า
  • กองทุนรวมตราสารแห่งหนี้ระยะยาว (Long-term fixed income fund)
  • กองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนในหรือมีไว้เฉพาะเงินฝาก หรือหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่น หรือการหาดอกผลโดยวิธีอื่นตามที่สำนักงาน ก.ล.ต .กำหนดหรือให้ความเห็นชอบให้กองทุนประเภทดังกล่าวลงทุนได้ โดยกองทุนมีวัตถุประสงค์ที่จะดำรง พอร์ตโฟริโอ ดูเรชัน (portfolio duration) ในขณะใดขณะหนึ่งของกองทุนรวมนั้นมากกว่าหนึ่งปีขึ้นไป พอร์ตโฟริโอ ดูเรชัน (portfolio duration) หมายถึง อายุถัวเฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนักของกระแสเงินที่ได้รับจากทรัพย์สินของกองทุนรวม พอร์ตโฟริโอ ดูเรชัน มากกว่าหนึ่งปี มีความหมายโดยทั่วไปว่า ทรัพย์สินที่กองทุนลงทุนและมีไว้ มีอายุเฉลี่ยมากกว่าหนึ่งปี เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ยอมรับความเสี่ยงต่ำ และสามารถลงทุนระยะยาวได้
  • กองทุนรวมตราสารแห่งหนี้ระยะสั้น (Short-term fixed income fund)
  • กองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนในหรือมีไว้เฉพาะเงินฝาก หรือหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่น หรือการหาดอกผลโดยวิธีอื่นตามที่สำนักงาน ก.ล.ต. กำหนดหรือให้ความเห็นชอบให้กองทุนประเภทดังกล่าวลงทุนได้ โดยกองทุนมีวัตถุประสงค์ที่จะดำรง พอร์ตโฟริโอ ดูเรชัน (portfolio duration) ในขณะใดขณะหนึ่งของกองทุนรวมนั้นไม่เกินหนึ่งปี พอร์ตโฟริโอ ดูเรชัน ต่ำกว่าหนึ่งปี มีความหมายโดยทั่วไปว่า ทรัพย์สินที่กองทุนลงทุนและมีไว้ มีอายุเฉลี่ยน้อยกว่าหนึ่งปี เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนระยะสั้น และต้องการความเสี่ยงต่ำ
  • กองทุนรวมผสม (Balanced fund)
  • กองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่น หรือการหาดอกผลโดยวิธีอื่นตามที่สำนักงาน ก.ล.ต.กำหนด หรือให้ความเห็นชอบให้กองทุนประเภทดังกล่าวลงทุนได้ โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะดำรงอัตราส่วนการลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งตราสารทุนในขณะใดขณะหนึ่งไม่เกินร้อยละ 65 และไม่น้อยกว่าร้อยละ 35 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม กองทุนผสม ลงทุนในตราสารได้ทุกประเภท ผู้จัดการกองทุนสามารถแสวงหาโอกาสลงทุนที่ดีกว่าได้ทั้งในตลาดตราสารทุนและตลาดตราสารหนี้ แต่เป็นการจัดสรรเงินลงทุนประเภทสมดุล เพราะมีข้อกำหนดเกี่ยวกับ ceiling และ floor ในการลงทุนในตราสารทุน กองทุนผสม เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ยอมรับความเสี่ยงได้ปานกลาง
  • กองทุนรวมผสมแบบยืดหยุ่น (Flexible portfolio fund)
  • กองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่น หรือการหาดอกผลโดยวิธีอื่นตามที่สำนักงาน ก.ล.ต.กำหนด หรือให้ความเห็นชอบให้กองทุนประเภทดังกล่าวลงทุนได้ ทั้งนี้ การลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่น หรือการหาดอกผลโดยวิธีอื่นดังกล่าว ขึ้นกับการตัดสินใจลงทุนของผู้จัดการกองทุนรวม ตามความเหมาะสมและสภาวการณ์ในแต่ละขณะ กองทุนรวมผสมแบบยืดหยุ่น สามารถลงทุนในตราสารทุกประเภทเช่นเดียวกับกับกองทุนรวมผสม แต่ไม่มีข้อกำหนดเกี่ยวกับ ceiling และ floor ในการลงทุนในตราสารทุนแต่อย่างใด การจัดสรรเงินลงทุนของกองทุนรวมผสมแบบยืดหยุ่นระหว่างตลาดตราสารทุนและตลาดตราสารหนี้ จึงอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน กองทุนรวมผสมแบบยืดหยุ่น เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ยอมรับความเสี่ยงได้ปานกลาง
  • กองทุนรวมหน่วยลงทุน (Fund of funds)
  • กองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งหน่วยลงทุนและใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนรวม โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม เนื่องจากกองทุนรวมมีข้อดีหลายประการ ที่สำคัญคือ มีการกระจายการลงทุน ความเสี่ยงจึงลดลง ทั้งยังมีต้นทุนเฉลี่ยต่ำ กองทุนรวมหน่วยลงทุนจึงรับเอาข้อได้เปรียบดังกล่าวมา นอกจากนั้นแล้ว กองทุนรวมหน่วยลงทุนยังกระจายการลงทุนไปในหลาย กองทุนรวมภายใต้การจัดการของหลายผู้จัดการกองทุนและหลายบริษัทจัดการ จึงเป็นการกระจายความเสี่ยงที่กว้างขวางกว่า ข้อเสียของกองทุนรวมหน่วยลงทุน อยู่ที่มีค่าธรรมเนียมในการจัดการและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ซ้ำซ้อน
  • กองทุนรวมใบสำคัญแสดงสิทธิ (Warrant fund)
  • กองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้น ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นกู้ ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหน่วยลงทุน และใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นเพิ่มทุน โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม การลงทุนในใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้น มีความเสี่ยงสูง กองทุนประเภทนี้จึงมีความเสี่ยงสูงมาก
  • กองทุนรวมกลุ่มธุรกิจ (Sector fund)
  • กองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งตราสารทุนของบริษัทที่มีธุรกิจหลักประเภทเดียวกันตามที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยกำหนด โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม กองทุนรวมกลุ่มธุรกิจ มีการลงทุนกระจุกตัว จึงมีความเสี่ยงสูงกว่ากองทุนรวมตราสารแห่งทุนโดยทั่วไป
  • กองทุนรวมตลาดเงิน (Money market fund)
  • กองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งตราสารหนี้ที่มีคุณภาพและมีกำหนดชำระเงินต้นเมื่อทวงถามหรือมีอายุคงเหลือไม่เกิน 1 ปี กองทุนรวมตลาดเงิน มีนโยบายการลงทุนที่คล้ายคลึงกับ กองทุนรวมตราสารแห่งหนี้ระยะสั้น มีความเสี่ยงต่ำสุด เหมาะสำหรับการลงทุน ระยะสั้นของผู้ลงทุนที่ไม่ต้องการความเสี่ยง

    Friday, October 19, 2012

    InvestmentTalk – กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ เงินปันผลสูง ความผันผวนต่ำกว่าหุ้น

    ขอประเดิมบทความแรกใน Fund Manager Talk ด้วยเรื่องราวเกี่ยวกับการลงทุนในกองทุนรวมอสังหาิริมทรัพย์ (Property Fund หรือ “PFund”) ครับ
    หลายคนเมื่อได้ยินคำว่า อสังหาริมทรัพย์ อาจจะนึกถึง การเก็งกำไร หรือ ฟองสบู่ แต่ความหมายที่แท้จริงของการลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ คือการมีสิทธิในการรับรายได้ค่าเช่า (หรือที่เรียกว่า “สิทธิการเช่า”) ในอสังหาริมทรัพย์ประเภทต่าง ๆ ซึงมีรายได้ที่ “ค่อนข้าง” แน่นอนจากค่าเช่าพื้นที่ เช่น ห้างสรรพสินค้า เซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ หรือ โรงงานอุตสาหกรรม โดยนักการเงินจะประเมินมูลค่าของกระแสรายได้ในอนาคต เช่น 20 ปี หรือ 30 ปี หรือแม้กระทั่ง ไม่สิ้นสุด (infinite horizon) และนำมาคิดลด (ซึ่งเรียกรวมว่าวิธี Discounted Cash Flow) เพื่อให้ได้มูลค่า ณ วันนี้ และนำมูลค่านั้นมาขายให้นักลงทุนอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ (รวมทั้งผมด้วย)
    พูดอีกนัยหนึ่ง การลงทุนใน PFund ก็คือการซื้อมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดทั้งหมดในอนาคตจากค่าเช่าพื้นที่นั่นเอง
    (ศึกษาเพิ่มเติมเรื่อง มูลค่าปัจจุบัน ได้ที่ http://www.investopedia.com/terms/p/presentvalue.asp)
    การลงทุนใน PF จะได้รับผลตอบแทนสองส่วน ส่วนแรกคือ เงินปันผลที่มาจากค่าเช่า และ ส่วนที่สองคือกำไรจากมูลค่าเงินลงทุนที่ “อาจ” เพิ่มขึ้น ซึ่งในภาวะปัจจุบัน PFund หลายตัวให้ผลตอบแทนสูงกว่า 10% ต่อปี (หุ้นในตลาดหลักทรัพย์โดยเฉลี่ย ณ วันที่ 3 พ.ย.52 ให้เงินปันผลเฉลี่ย 4.09% ต่ิอปี และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ 0.50% ต่อปี)
    และเมื่อทราบถึงผลตอบแทน ก็ต้องเข้าใจถึงความเสี่ยงที่มาด้วยกัน สำหรับ PFund ความเสี่ยงหลัก ประการแรกคือ โอกาสที่รายได้ค่าเช่าจะลดลงเนื่องจากการลดค่าเช่าหรือการไม่ต่อสัญญาเช่า เป็นผลให้ผลตอบแทนของผู้ลงทุนลดลง และประการที่สองคือความผันผวนของราคา PFund ที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งอาจทำให้เราขาดทุน (แต่บางครั้งก็เป็นโอกาสในการหากำไรเช่นกัน)
    PFund สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ 1) Freehold: สิทธิการเช่าไม่มีสิ้นสุด เนื่องจาก PFund เป็นเจ้าของตัวอสังหาริมทรัพย์โดยถาวร (ซื้อขาด) 2) Leasehold: สิทธิการเช่ามีระยะเวลาสิ่้นสุด เนื่องจาก PFund ทำสัญญาเช่าแบบมีระยะเวลากับเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ที่แท้จริง (เซ้งมา) ซึ่ง PFund ประเภทนี้มูลค่าพื้นฐานของตัวมันเองจะทยอยลดลงตามระยะเวลาสิทธิการเช่าที่เหลือน้อยลงไปด้วย
    ขอกล่าวถึง PFund ยอดนิยม 3 ตัว ซึ่งจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สามารถเคาัะซื้อขายได้เหมือนหุ้นทั่วไป ดังนี้
    1. กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ฟิวเจอร์พาร์ค (FUTUREPF): รายได้จะมาจากค่าเช่าพื้นที่ค้าขายในห้างฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต มูลค่ารวมในตลาดหลักทรัพย์ 4.3 พันล้านบาท ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมาจ่ายเงินปันผลรวมกัน 1.021 บาท/หน่วย ราคาซื้อขายในตลาดปัจจุบัน 9.30 บาท/หน่วย คิดเป็นผลตอบแทน 10.98% ต่อปี (ก่อนภาษีหัก ณ ที่จ่าย 10%) (ตัวนี้เป็น Leasehold)
    2. กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ควอลิตี้ เฮ้าส์ (QHPF) รายได้มาจากค่าค่าเช่าพื้นที่ใน อาคาร Q.House ลุมพินี, Q.House เพลินจิต และ Waveplace มูลค่ารวมในตลาดหลักทรัพย์ 6.2 พันล้านบาท ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมาจ่ายเงินปันผลรวมกัน 0.7830 บาท/หน่วย ราคาซื้อขายในตลาดปัจจุบัน 8.00 บาท/หน่วย คิดเป็นผลตอบแทน 9.79% ต่อปี (ก่อนภาษีหัก ณ ที่จ่าย 10%) (ตัวนี้เป็น Leasehold)
    3. กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทคอน (TFUND) รายได้มาจากค่าเช่าพื้นที่ในโรงงานอุตสาหกรรมหลายแห่ง มูลค่ารวมในตลาดหลักทรัพย์ 7.3 พันล้านบาท ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมาจ่ายเงินปันผลรวมกัน 0.81 บาท/หน่วย ราคาซื้อขายในตลาดปัจจุบัน 10.10 บาท/หน่วย คิดเป็นผลตอบแทน 8.02% ต่อปี (ก่อนภาษีหัก ณ ที่จ่าย 10%) (ตัวนี้เป็น Freehold จึงมีความเสี่ยงต่ำในด้านอายุของกองทุนซึ่งไม่สิ้นสุด จึงให้ผลตอบแทนต่ำกว่า PF ตัวอื่น ๆ ด้วย เพราะนักลงทุนบางประเภทที่ไม่ชอบความเสี่ยงด้านอายุคงเหลือจะเน้นลงทุนใน PFund นี้)
    สรุปประโยชน์ของการลงทุนใน PFund
    1. ซื้อขายได้ในตลาดหลักทรัพย์เหมือนหุ้นทั่วไป
    2. ให้ผลตอบแทนสูงในรูปเงินปันผล และมีโอกาสเติบโตตามอัตราค่้าเช่าที่อาจเพิ่มขึ้น
    3. ความผันผวนของราคาต่ำกว่าหุ้นทั่วไป
    4. มีโอกาสได้กำไรจากราคา (แต่โอกาสยังต่ำกว่าหุ้นทั่วไป)
    5. ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของร่วมในโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ :)
    สรุปความเสี่ยงของ PFund
    1. ยังมีความผันผวนของราคาในตลาด
    2. สภาพคล่องในการซื้อขายบางช่วงเวลาจำกัด (ไม่มีคนรับซื้อ/ปล่อยขาย พอกับความต้องการ) แต่ถ้าซื้อขายในระดับหลักแสนบาทต่อวัน ทำได้สบายครับ
    3. สำหรับ PFund ประเภท Leasehold เมื่ออายุคงเหลือของสิทธิการเช่าลดลง จะทำให้มูลค่าในทางทฤษฎีของ PFund ลดลงไปด้วย
    4. ปริมาณรายได้ค่าเช่าอาจมีความผันผวนตามภาวะเศรษฐกิจ
    สำหรับผู้ที่กลัวความผันผวนจากการลงทุนในหุ้นทั่วไป แต่ต้องการผลตอบแทนสูง PFund น่าจะเ็ป็นตัวเลือกที่น่าสนใจอย่างยิ่งครับ ที่สำคัญ PFund โดยทั่วไปจะจ่ายปันผลปีละ 4 ครั้ง ซึ่งจะเริ่มขึ้นเครื่องหมาย XD สำหรับผลประกอบการไตรมาส 3 ของปี 2552 ในช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้แล้ว หากท่านผู้อ่านสนใจ PFund ตัวที่แนะนำ หรือตัวอื่น ๆ (ดูได้จาก www.set.or.th ในกลุ่ม ”PFUND”)  ก็น่าจะเป็นโอกาสดีในการเริ่มต้นลงทุนใน PFund ครับ
    บทความต่อเนื่องของผม เกี่ยวกับ PFund (ชวนอ่านให้ครบทั้ง Series เลยนะครับ)
    1. เจาะลึกเทคนิกการลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ตอนที่ 1: เปรียบเทียบอัตราผลตอบแทนตลอดโครงการ
    2. เจาะลึกเทคนิกการลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ตอนที่ 2: การคำนวณมูลค่าพื้นฐาน
    3. เจาะลึกเทคนิกการลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ตอนที่ 3: การบันทึกด้อยค่าของกองทุนสิทธิการเช่า
    4. การลดทุนของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์: แนวทางของผู้บริหารกองทุน + ประเด็นทางบัญชีและภาษีเงินได้

    อ้างอิงจาก http://fundmanagertalk.com/investment-talk-property-fund/

    เลือกซื้อ LTF ยังไงให้ตรงกับความต้องการ

    ก่อนอื่นคงต้องแยกจุดประสงค์ของการซื้อก่อนนะครับ ว่าต้องการซื้อเพื่ออะไร ผมจะแยกหลักๆเป็นสองอย่างนะครับ คือ

    1. เพื่อต้องการลดหย่อนภาษีอย่างเดียว โดยไม่ต้องการมีความเสี่ยงด้านลงทุน และไม่ได้หวังในผลตอบแทน
    กลุ่มนี้จะเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงน้อย หรือแทบไม่มีเลย เนื่องจากมีป้องกันความเสี่ยงเกี่ยวกับความผันผวนของตลาดหุ้นใว้ (ปรกติ LTF จะบังคับให้กองทุนลงทุนในหุ้นอย่างน้อย 70%) ทำให้ราคากองทุนไม่ได้ปรับตัวไปตามตลาดซะทีเดียว ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับนโยบายการลงทุนของแต่ละกองทุนด้วย ว่าให้น้ำหนักการลงทุนและป้องกันความเสี่ยงแค่ใหน

    TIPS: กองทุนประเภทนี้นอกจากจะใช้เพื่อหวังผลทางภาษีอย่างเดียวแล้ว ยังสามารถใช้สลับเข้าไปพักในตลาดขาลงได้อีกด้วย เมื่อมองว่าตลาดจะฟื้นตัว จึงค่อยสลับไปยังกองทุนที่มีความเสี่ยงมากขึ้นก็ได้

    ผมทำกราฟเปรียบเทียบตัวอย่างกองทุนประเภทนี้กับ SET Index ใว้ ลองกดดูในแต่ละช่วงเวลาดูนะครับ
    http://siamchart.com/fund-chart/SCBL...LTF,KSDLTF,SET
    จะเห็นว่าแรกๆ KSDLTF ก็แกว่งตาม SET เหมือนกัน ขณะที่ 1SMART-LTF คงเส้นคงวามาตลอด ไม่รู้ว่า KSDLTF เปลี่ยนรูปแบบการลงทุนไปตอนใหนบ้าง ส่วน SCBLTS ค่อนข้างปรับตัวตาม SET
    ถ้าไม่ต้องการความเสี่ยงเลย และหวังผลทางภาษีอย่างเดียว 1SMART-LTF น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดนะครับ
    2. เพื่อลดหย่อนภาษี และ การลงทุน
    กลุ่มนี้ราคากองทุนจะค่อนข้างแปรผันไปตามสภาพตลาด โดยจะแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มคือ เสี่ยงปานกลาง และเสี่ยงสูง

    - ความเสี่ยงปานกลาง (กองทุนประเภทนี้จะพยายามลงทุนในหุ้นในสัดส่วนน้อยที่สุดคือ 70%)
    http://siamchart.com/fund-compare/LTF_7030
    เนื่องจากลงทุนในหุ้นเพียง 70% ทำให้ผันผวนน้อยลง แต่ก็ยังตามตลาดพอสมควร

    - ความเสี่ยงสูง (กองทุนประเภทนี้จะลงทุนในหุ้นเกือบทั้งหมด)
    http://siamchart.com/fund-compare/LTF_EQ
    เนื่องจากลงทุนในหุ้นเกือบทั้งหมด ทำให้ราคาเคลื่อนใหวแกว่งตัวมากตามตลาด
    จะเห็นว่าช่วงที่ตลาดปรับตัวสูงขึ้น กองทุนของ AYF ทำผลงานได้ค่อนข้างโดดเด่นมาก แต่ในเวลาที่ตลาดปรับตัวลงก็ลงแรงเช่นกัน

    และหากต้องการผลตอบแทนในรูปปันผลด้วย ก็มีกองทุนในกลุ่มที่มีการจ่ายปันผลให้เลือกเช่นกัน
    http://siamchart.com/fund-compare/LTF_DIV

    TIPS: กองทุนที่ไม่มีการจ่ายปันผล ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ได้เลือกหุ้นที่มีปันผลใว้ในพอทการลงทุน การจ่ายปันผลเป็นเพียงนโยบายการจ่ายปันผลเท่านั้นไม่ได้หมายถึงนโยบายการเลือกหุ้นในการลงทุน ดังนั้นขอให้อย่าไปสับสนกับหุ้นปันผล เพราะคนละความหมายกัน
    อ้างอิงจาก : http://siamchart.com/forum/showthread.php

    Tuesday, October 16, 2012

    AI 9.5.2

    ai nutkungx 9.5.2 ล่าสุด

    =========================
    New Key:
    Auto Skill(2) = Shift+Ctrl+R F V
    Auto Skill(3) = Shift+Ctrl+Alt+R F V
    Auto Skill Timer = Shift+Ctrl+1 2 3 4 5 6
    Show Info = Shift+Ctrl+F11
    Auto Bullet = Shift+F1 F2 F3
    Manual Target = Shift+M
    Heal Type = Shift+H Family/Squad
    Levitation 2 = Shift+Ctrl+ Q A Z
    Common Item N1~N9 = Shift+Num 1 2 3 4 5 6 7 8 9
    Buff2 = Shift+Ctrl+W S X
    Catherine Mode atk = Shift+F4
    Near Target Check = Shift+F5
    Auto SP = Shift+6
    Crystal Prison = Shift+F6
    =========================
    This mode only work on GE v4~5
    CAM Mode = Shift+Ctrl+F12
    NAV Cam Key:
    Q E = Up down
    A S D W X = Move
    Hold LShift = Slow move
    Hold LCtrl = Fast move
    Num 2 4 6 8 = Rotate
    =========================
    Key:
    *** only left Shift can be use, the number used must be in main keyborad. not numlock in right keyboard. ***
    *** shift 4,Q,A,Z,W,S,X,R,F,V will be set OFF when ever change map, channel and new game. ***
    *** shift T,G,B will be set ON everytime you change map, channel and new game. ***
    *** Protection Field should choose only one character. ***
    *** The effect of AI will depends on the no. of times u press ***
    Shift + 1 [ ON/OFF Cha1 Pick ] - character1 pick item.
    Shift + 2 [ ON/OFF Cha2 Pick ] - character2 pick item.
    Shift + 3 [ ON/OFF Cha3 Pick ] - character3 pick item.
    Shift + 4 [ ON/OFF Auto Keep ] - Auto Keep. (auto stand when knock back)
    *** choose this command after press space bar. ***
    Shift + 5 [ ON/OFF Auto Heal ] - Healer & Atk Healer can Heal. (start Healer)
    *** ON Healer, ON Atk Healer, ON Healer & Atk Healer, OFF first start ON Healer. (normally) ***
    Shift + 6 [ ON/OFF Auto SP ] - add SP for Catherine, Jack, Yeganeh, Angie when Summon only.
    *** after use either 500, 600 or 700 sp it will use one SP pot. ***
    *** (but this command has Delay when summon for 3s everytime) ***
    *** use short cut SP Potion into position I K ,. ***
    Shift + 7 [ ON/OFF Jack Range ] - Jack, Angie, Yeganeh Range CLOSE, FAR. (default is CLOSE)
    Shift + 8 [ ON/OFF Attack & Pick Range ] -1500, 2000, RUNNING 1500 (default is 1500)
    *** Character 1 must be attacker ***
    Shift + 9 [ ON/OFF ] - NoneShift + 0 [ ON/OFF Auto Potion ] - use Potion when HP < 50% - 90%.
    *** Put HP Potion at position U J M shortcut. ***
    Shift + Y [ ON/OFF Angie Mode ] - Angie construction type CANNON, PROPELLER. (default is CANNON)
    Shift + N [ ON/OFF Auto Resus ] - Resuscitation. (Scout Emilia Viki Romina RescueKnight Rio) (only our team)
    Shift + L [ ON/OFF Master Reset ] - Reset everything to normal. (except Auto Keep, Attack Range, Pick Range)
    Shift + Q [ ON/OFF Cha1 AI ] - Character1 Auto AI.
    Shift + A [ ON/OFF Cha2 AI ] - Character2 Auto AI.
    Shift + Z [ ON/OFF Cha3 AI ] - Character3 Auto AI.
    *** Wizard, Mboma, EmiliaSage will use Levitation when AI is activated. ***
    *** Wizard, Mboma, EmiliaSage will auto SP when SP uses up. Will land and re - levitate after auto SP. ***
    *** put SP Potion at position I K shortcut,. ***
    *** Levitation ON 4 STANCE (for Wizard / ets) , ON 3 STANCE (for Mboma) , OFF. ***
    *** Wizard, Emilia, EmiliaSage use Levitation. (Protection Field will be off) ***
    *** Catherine summon Lloyd + Sasha, all dolls. ***
    *** Angie,Jack,Yeganeh build cannon, cannon+ fence, cannon+ ward, cannon+ fence+ ward. (stance must true) ***
    *** Cannon refers to both cannon turrets and siege cannon turret stance. ***
    *** Angie build cannon or propeller. (Look Shift + Y)(stance must true) ***
    *** ViKi summons only one monster and will depend on how many time u pressed for monster type. ***
    *** Treasure golem = hill giant, Iron Ararat = Ararat for amicus stance. ***
    *** Multiple summoner can be used ***
    *** Musketeer, Grace, Najib, CatherineDEX,STR,INT can Kneel but can't move. (it's not good enough) ***
    *** other job have no effect. ***
    Shift + W [ ON/OFF Cha1 BUFF ] - Character1 use skill BUFF.
    Shift + S [ ON/OFF Cha2 BUFF ] - Character2 use skill BUFF.
    Shift + X [ ON/OFF Cha3 BUFF ] - Character3 use skill BUFF.
    *** Calyce uses Cats Eye, Hawk Eye, Cats Eye & Hawk Eye, OFF (Hawk Eye only Sagitta stance) ***
    *** Warlock uses Skill2, Skill6, Skill2 & 6, OFF. (stance must be true) ***
    *** Wizard uses Protection Field, Skill6, OFF. (stance must be true) ***
    *** Soso, Irawan use Skill4 for stance chapter of fire. (stance must be true) ***
    *** Gracielo, Gurtude, Backho use Skill6. ***
    *** MBoma, Karjalainen, Panfilo, PanfiloBattle, Rio use Skill2 for some stance. (stance must true) ***
    *** Musketeer uses Concentrate, Concentrate & Westraid for stance double gun shot, OFF. (stance must true) ***
    *** Infantry uses Concentrate. ***
    *** AdelinaPirate, Garcia, Brunie, Grace use Westraid for stance double gun shot. (stance must true) ***
    *** Wizard, Emilia, EmiliaSage, CatherineDEX, STR use Protection Field. (stance must true) ***
    *** CatherineINT uses Protection Field, Skill2 (stance like Warlock), OFF. (stance must true) ***
    *** (Levitation will be off) ***
    *** Eduardo, Kurt use Grim Ripper. (stance must true) ***
    *** Lisa use Daga Venenosa. (for stance Dobalada Corte) (stance must true) ***
    *** Fighter uses Provoke, Guardian for stance high guard, OFF. (stance must true) ***
    *** Grandma uses Provoke. ***
    *** Romina, RescueKnight use Guardian. (stance must true) ***
    *** Scout, Soho, Soho the wind, ViKi use Fortitudo. (stance must true) ***
    *** Intensify + Acceleration + Meditation, Intensify + Fortify + Meditation, OFF. ***
    *** other job have no effect. ***
    Shift + E [ ON/OFF Cha1 Item2 ] - Character1 use Item2 every 450 Sec. (I)
    Shift + D [ ON/OFF Cha2 Item2 ] - Character2 use Item2 every 450 Sec. (K)
    Shift + C [ ON/OFF Cha3 Item2 ] - Character3 use Item2 every 450 Sec. (,)
    *** be proper with buff bottle. ***
    Shift + R [ ON/OFF Cha1 Skill ] - Character1 use skill1-5, OFF.
    Shift + F [ ON/OFF Cha2 Skill ] - Character2 use skill1-5, OFF.
    Shift + V [ ON/OFF Cha3 Skill ] - Character3 use skill1-5, OFF.
    *** shift R,F,V target on monsters only. ***
    *** Jose can use this command to shoot cannon. (in game option you must change target ground to auto target) ***
    Shift + T [ ON/OFF Cha1 Atk ] - Character1 ON/OFF Attack. (start ON)
    Shift + G [ ON/OFF Cha2 Atk ] - Character2 ON/OFF Attack. (start ON)
    Shift + B [ ON/OFF Cha3 Atk ] - Character3 ON/OFF Attack. (start ON)

    ลิ้งโหลดคับ แจกฟรีไม่ขออะไรแค่กดลิ้งบัคให้ผมแค่นั้น
    ลิ้งใหม่ http://adf.ly/DVkMS(กดข้าม)มุมขวาบน

    ขั้นตอนการลงแบบไม่Copy โฟลเดอร์ไปทับ

    เปิดzip ขึ้นมาเราจะเห็นโฟลเดอร์ 2อันนะคับ ge และ releaser

    เปิดโฟลเดอร์ ge Copy ตัว "ai.ipf" ไปใส่โฟเดอร์ที่เราลงเกมส์ไว้ Granado espada \ ge (ทับตัวเก่าได้เลย)เส็จ 1 ขั้นตอน

    ขั้น2 เปิดโฟลเดอร์ release Copy ตัว "ge.exe" และ "hotkey.xml" และ "user.xml" ไปใส่โฟเดอร์ Granado Espada\release (ทับตัวเก่าเลย) จบ...
     
     

    Tuesday, October 9, 2012

    พอร์ตลงทุน โดยวิธี DCA


    มะลิตูม การขึ้นลงของกองทุนตราสารทุน ส่วนใหญ่ไปในทิศทางเดียวกันกับราคาหุ้น นับกันเป็นรอบๆ แบ่งเป็นรอบขาขึ้น และรอบขาลง แต่ละรอบไม่มีกำหนดระยะเวลาตายตัว บางรอบอาจกินเวลาไม่กี่สัปดาห์ บางรอบอาจยืดเยื้อเป็นแรมปี ไม่ว่าจะเป็นรอบขาขึ้นหรือขาลง ไม่มีใครคาดหมายได้ว่าจะกินเวลายาวนานเท่าไหร่

    มะลิตูม และถ้าคาดการณ์ผิด ซื้อขายไม่ถูกจังหวะ นอกจากจะพลาดนาทีทองในการทำเงินแล้ว ยังมีโอกาสเสียหายยับเยินได้ การพิจารณาจังหวะเวลาการลงทุนที่เหมาะสมไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว แต่วิธีหนึ่งค่อยข้างที่จะได้ผล นั่นคือการลงทุนแบบ ถัวเฉลี่ย ชื่อภาษาอังกฤษว่า Dollar Cost Average (DCA) / Mutual Funds

    หลายคนเชื่อว่าน่าจะลดความเสี่ยงในด้านการเข้าลงทุนได้ในระดับหนึ่ง

    มะลิตูม เป็นวิธีง่ายๆ ที่ช่วยป้องกันเราจากความผันผวนในตลาดหุ้นถ้าคุณเป็นนักลงทุนระยะปานกลางถึงยาว แน่นอน ในทุกการลงทุนเราอยากซื้อหุ้นได้ในราคาถูกสุด ขายได้ในราคาแพงสุด ได้กำไรมากสุด แต่ในความเป็นจริง ใครจะไปรู้ได้ว่า หุ้นที่ราคาถูกสุดอยู่ที่ตรงไหน ไม่ว่าใครจะอ้างตัวว่าเป็นเซียน ศึกษาราคาทั้งพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิคมาอย่างโชกโชนก็ยังไม่สามารถบอกได้อย่างถูกต้องและแม่นยำว่า หุ้นตัวถูกที่สุด อยู่ที่ไหน

    มะลิตูม วิธีการของ DCA คือ การเข้าลงทุนโดยกำหนดจำนวนเงินที่แน่นอนในการเข้าซื้อในแต่ละเดือน คล้ายๆ ฝากประจำนั่นล่ะครับ (แต่ผลตอบแทนต่างกัน) ถ้าคุณซื้อในราคาสูง จะได้จำนวนหน่วยลงทุนน้อย จากเงินจำนวนเดียวกัน ถ้าราคาหุ้นลดต่ำลง คุณซื้อหุ้นในราคาถูก และได้จำนวนหน่วยลงทุนมากขึ้น

    มะลิตูม เมื่อระยะเวลาหนึ่งผ่านไป ในพอร์ตการลวทุนของคุณจะมีหน่วยลงทุนหลายราคา ทั้งถูกทั้งแพงเฉลี่ยกันไป เป็นการลดความเสี่ยงที่คุณจะนำเงินทั้งก้อนไปลงทุนครั้งเดียวที่ราคาเดียว เพราะคุณหรือใครก็ไม่มีทางรู้ได้ว่า ราคานั้นสูงเกินไปหรือไม่ ณ เวลานั้นๆ ดังนั้น จะมีบางเดือนที่คุณซื้อได้ในราคาแพง แต่จะได้จำนวนหุ้นน้อย แต่เดือนต่อมา ตลาดหุ้นลดต่ำลง ผลเสียก็คือ คุณขาดทุนที่ซื้อไปเมื่อเดือนที่แล้ว แต่ผลดีก็คือ คุณยังมีเงินที่จะเข้าซื้อได้อีกต่อไปในเดือนนี้ แถมคุณซื้อได้ในราคาที่ถูกลง และได้จำนวนหน่วยลงทุนมากขึ้น

    มะลิตูม ในบางเดือนที่ราคาสูงขึ้น ผลดีคือ คุณเริ่มยิ้มได้เพราะมีผลกำไรจากการลงทุน แต่ผลเสียคือ เมื่อราคาหุ้นสูง คุณจะซื้อได้จำนวนน้อยลง ซึ่งจริงๆ เป็นการลดความเสี่ยงที่คุณจะเข้าซื้อที่ราคาสูงเกินไป หรือการเข้าซื้อตอนตลาดบูมมากๆ เมื่อคุณเข้าลงทุนโดยการเฉลี่ยต้นทุนได้ครบ 8 เดือน คุณจะได้พอร์ตการลงทุนที่สามารถลดความเสี่ยงในการลงทุนในระยะยาวได้เป็นอย่างดีทีเดียว

    มะลิตูม วิธีการ DCA เหมาะกับการลงทุนในระยะยาวได้อย่างสบายใจ โดยไม่ต้องสนใจว่าราคาหุ้นในวันที่คุณเข้าลงทุน จะแพงไปหรือถูกไป ยิ่งถ้าคุณซึ่งไม่เคยลงทุนมาก่อนหรือเซียนหุ้นหน้าไหนก็ไม่มีทางรู้ ยิ่งลง กองทุนของคุณมีแต้มต่ออยู่แล้ว

    ถ้าแบ่งกองทุน โดยใช้หลักเกี่ยวกับ "นโยบายปันผล" ก็มี 2 แบบ
    1. แบบมีนโยบายปันผล
       ข้อดี : เน้นซื้ออย่างเดียว วัตถุประสงค์เพื่อสะสมหน่วยลงทุน
                ให้มีจำนวน nav เพิ่มขึ้น เมื่อกองทุนมีการจ่ายปันผล
                ออกมาก็จะได้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นตามจำนวน nav

    2. แบบไม่มีนโยลายปันผล
       ข้อดี : การขึ้นลงของหน่วยลงทุนขึ้น/ลง เร็วและแรงกว่าแบบแรก
                ดังนั้นผลตอบ profie/loss ผันผวนสูง เหมาะสำหรับคนที่
                มีความชำนาญในการคาดเดาทิศทางการขึ้นลงของ SET




    เงินที่เราได้มาจากการลงทุนในหุ้น - กองทุน แยกเป็นสองส่วนครับ
    file 1. capital gain => อันนี้มันอาจเป็น Zerosum game เนื่องจากเราได้เงินจากคนที่ซื้อต่อจากเรา
    file 2. Dividend => อันนี้มาจากกำไรของ บ. ซึ่งเป็นเงินที่ได้มาจากนอกตลาดหุ้น เมื่อบริษัทมีกำไร ก็จะมีการจ่ายปันผล

    ลองนำวิธี DCA ไปปรับใช้กับทุกการลงทุนดู
    (เงินมาก เงินน้อย ไม่สำคัญ ขึ้นอยู่กับความตั้งใจ และพยายามเรียนรู้ โดยใช้ปัญญา และหลักการลงทุนแบบพอเพียง) สู้ๆครับ

    *ไม่มีใครรู้ไปหมดทุกเรื่อง เราแค่มาแบ่งปันกัน *ขอให้โชดดีทุกท่าน
     

    ค่าระวางเรือ


    ค่าระวังเรือ กับค่าระวางเรือ
    ค่าระวางเรือ กับ ค่าระวังเรือ

    เชื่อแน่ ว่า หลายคนคงไม่รู้ว่า ระวางเรือ คืออะไร

    ค่าระวางเรือนี้ มีบทบาทสำคัญมากในการเล่นหุ้นเรือ

    ค่าระวังเรือ กับค่าระวางเรือ
    ค่าระวางเรือ กับ ค่าระวังเรือ

    เชื่อแน่ ว่า หลายคนคงไม่รู้ว่า ระวางเรือ คืออะไร

    ค่าระวางเรือนี้ มีบทบาทสำคัญมากในการเล่นหุ้นเรือ
    ค่าระวางเรือ กับ ค่าระวังเรือ

    เชื่อแน่ ว่า หลายคนคงไม่รู้ว่า ระวางเรือ คืออะไร

    ค่าระวางเรือนี้ มีบทบาทสำคัญมากในการเล่นหุ้นเรือ

    ระวาง คือ ที่ว่างสำหรับบรรทุกของ

    เพราะฉนั้น ค่าระวางเรือ ก็คือ เงินที่จะต้องจ่ายสำหรับที่ว่างในการบรรทุกของในเรือนั่นเอง หรือ ภาษา อังกฤษง่าย ๆ คือ freight charge

    สำหรับนักเล่นหุ้นเรือ แล้วจะติดตามดู BDI ทุกวัน
    วันไหน BDI ลดลง หุ้นเรือก็จะลดลงตาม วันไหน BDI ขึ้น หุ้นเรือก็กระดี๊กระด๊าไปตาม ๆกัน
    ก็คิดเพียงง่าย ๆ ก็แล้วกันว่า BDI คือ Buying Day Index ถ้าลบ ก็ไม่ค่อยสวย

    Monday, October 8, 2012

    การลงทุนทางการเงิน (Financial investments)

                  
             หมายถึง การที่ผู้ลงทุนนำเงินที่มีอยู่ไปซื้อหลักทรัพย์ต่าง ๆ ซึ่งหลักทรัพย์ดังกล่าวก่อให้เกิดรายได้กับผู้ลงทุนนั้น ซึ่งการลงทุนทางการเงินโดยทั่วไปมักจะทำผ่านกลไกของตลาดการเงิน
    วัตถุประสงค์ของการลงทุนทางการเงิน เพื่อจะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนในรูปแบบของดอกเบี้ย (Interest) เงินปันผล Dividend) กำ ไรจากการซื้อขายหุ้น (Capital gain) และสิทธิพิเศษอื่น ๆ กล่าวโดยสรุปก็คือ มุ่งผลตอบแทนจากการใช้ทุนในรูปแบบของผลตอบแทนทางการเงิน (Monetary return) นั่นเอง
    เงินเพื่อการลงทุนได้มาจากไหน (Money For investing) เงินสำหรับนำมาลงทุนได้มาจากแหล่งใด หรือมีทางที่จะได้มาอย่างไรถ้าบุคคลได้มีการวางแผนจัดการเรื่องการเงินของตนอย่างมีประสิทธิภาพแล้วก็จะมีทางให้ได้เงินก้อนหนึ่งเพื่อการลงทุนได้เสมอ บุคคลมีโอกาสได้เงินมาจาก
    1. การรู้จักทำงบประมาณ (Using budgets) เราสามารถควบคุมการใช้จ่ายให้อยู่ในขอบเขตของเงินงบประมาณที่กำหนด ก็จะทำให้มีเงินออมเหลืออยู่จริงตามที่คาดคะเนไว้ ซึ่งเงินออมส่วนนี้สามารถนำไปลงทุนหาผลประโยชน์ได้
    2. การออมโดยวิธีบังคับ (Forced saving) ตามหลักของการจ่ายเงินเดือนซึ่งธุรกิจได้มีการหักเงินสะสม หรือเงินสำรองเลี้ยงชีพของพนักงานไว้ เงินออมส่วนนี้เป็นของลูกจ้างพนักงาน แต่ยังถอนไม่ได้จนกว่าจะทำตามเงื่อนไขที่กำหนด ธุรกิจจะนำเงินสดดังกล่าวไปให้สถาบันการเงินหรือบุคคลที่สามเป็นผู้ดูแลหาผลประโยชน์ให้งอกเงยตามที่กฎหมายกำหนด และจะจ่ายคืนแก่เจ้าของผู้มีสิทธิได้รับเมื่อถึงเวลา เงินออมโดยโดยวิธีบังคับจึงเป็นเงินลงทุนทางหนึ่งของบุคคลเพียงแต่เขาไม่ได้เป็นผู้ลงทุนเองโดยตรงแต่สถาบันนายจ้างเป็นผู้ลงทุนแทนให้
    3. การยกเว้นรายจ่ายไม่จำเป็นเสียบ้าง (Skip an expenditure) เป็นธรรมชาติของบุคคลที่มีเงินแล้วจะใช้จ่ายไปตามวิสัยปกติที่เคยเป็นมา เช่นทุกวันอาทิตย์ต้องออกไปทานข้าวนอกบ้าน ดูภาพยนตร์

    “ระบบการปลูกข้าวแบบเข้มข้น” หรือ System of Rice Intensification - SRI

    เป็นวิธีการจากมาดากัสการ์ ศรีลังกา กัมพูชา สู่การทดลองครั้งสำคัญบนผืนนาไทย การปักเดี่ยว ซึ่งประหยัดเมล็ดพันธุ์ ช่วยให้ต้นข้าวแสดงศักยภาพเต็มที่ใน การแตกกอและออกรวง

    หลังจากกระเด็นกระดอนอยู่บนถนนลูกรังที่ตัดผ่านทุ่งนาผืนกว้างมาได้ครึ่งชั่วโมง รถกระบะสีน้ำเงินของโครงการเสริมประสิทธิภาพเกษตรกร (คสป.) ก็มาจอดอยู่ตรงหน้าบ้านไม้หลังใหม่ของรุ่งโรจน์ ขจัดโรคา ซึ่งกำลังง่วนอยู่กับพิธีขึ้นบ้านใหม่และเตรียมอาหารเลี้ยงญาติมิตรที่มาร่วมงาน

    พวกชาวบ้านดูไม่แปลกใจกับการมาเยือนของคนแปลกหน้า บางคนคงเดาออกแล้วด้วยซ้ำว่าเราดั้นด้นมาถึงตำบลทมอของพวกเขาเพื่อตามหา ‘ข้าวอินทรีย์’ ที่ขายดีหนักหนา และเป็นสินค้าส่งออกไปถึงทวีปยุโรป

    การแปลผล การทดสอบการทำงานของต่อมไทรอยด์ (Thyroid function test)

    การตรวจสอบ Thyroid function test นั้น เป็นการทดสอบทางห้องปฏิบัติการที่ใช้บ่อย เนื่องจากโรคของต่อม thyroid ทำงานผิดปกติเป็นโรคที่พบบ่อย แต่อาการ และอาการแสดงของภาวะ thyriod ทำงานผิดปกตินั้นเป็นอาการที่ไม่เฉพาะ เจาะจง เช่น
    • Hyperthyroidism มีอาการ  เหนื่อยง่าย ใจสั่น น้ำหนักลดลง เหงื่อออกง่าย หงุดหงิด ซึ่งอาการเหล่านี้อาจจะพบได้ในภาวะ hypermetabolic state  อื่น เช่น pheochromocytoma , สตรีตั้งครรภ์และในผู้ป่วย anxiety neurosis เป็นต้น    
    • Hypothyroidism มีอาการ  เชื่องช้า ซึม ผิวหนังแห้ง บวม ท้องผูก ซึ่งอาจจะพบได้ในผู้สูงอายุ โรคไต และคนอ้วน เป็นต้น
            ดังนั้นการตรวจทางห้องปฏิบัติการจึงมีความจำเป็นเพื่อที่จะเป็นการสนับสนุนการวินิจฉัยภาวะผิดปกติของต่อม thyroid การวินิจฉัยผิดพลาดทำให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่ไม่ถูกต้อง และเป็นผลให้อาการโรคเป็นมากขึ้น
         ในอดีตการตรวจหน้าที่ของต่อมthyroid ใช้วิธีการตรวจหา basal metabolic rate (BMR), protein bound iodine (PBI)  และ radioiodine uptake ซึ่งทำยุ่งยาก และมีข้อผิดพลาดมาก 

    การทดสอบ thyroid function test ในปัจจุบัน
          ในปัจจุบันการตราจ thyroid function test ได้แก่ total T4(thyroxine) , total T3(Triiodothyronine), Free T4, Free T3 และ TSH(thyroid stimulating hormone)  ซึ่งเราสามารถแบ่งการทดสอบได้ดังนี้
    1. Total thyroid hormone  การวัดระดับ total T4, total T3 ใช้การวัดระดับโดยวิธี radioimmunoassay (RIA), enzyme immunoassay(EIA) , immunochemiluminometric asssay (ICMA)  และ electrochemiluminescence(ECL) ค่า T4,T3 ที่วัดนั้นมีค่าผิดพลาดในกรณีที่มี thyroid binding protein ผิดปกติ
                T4 ส่วนใหญ่จับกับ thyroxine-binding protein  ได้แก่ thyroxine-binding globulin(TBG), thyroxine-binding prealbumin(TBPA) หรืออาจจะจับกับ transthyretin และ albumin มีเพียง 0.3% เท่านั้น ที่อยู่ในรูป free form
                ในกรณีที่ TBG สูง   ทำให้ระดับ total T4 และ total T3 มีค่าสูงกว่าปกติ  ในขณะที่ถ้า TBG ต่ำกว่าปกติก็จะทำให้ ระดับของ total T4 และ total T3 มีค่าต่ำกว่าปกติด้วย
                       
    สาเหตุที่ทำให้ภาวะ  TBG ผิดปกติ
    ภาวะ TBG ต่ำกว่าปกติ
    ภาวะ TBG สูงกว่าปกติ
     - ได้รับยาฮอร์โมนเพศ
    - โรคตับเรื้อรัง
    - Acromegaly ที่ยัง active อยู่
    - ภาวะเจ็บป่วยทาง systemic
    - ภาวะโปรตีนในเลือดต่ำ
    - โรคไตเรื้อรัง
    - ได้รับยา glucocorticoid
    กรรมพันธุ์
     - ภาวะตั้งครรภ์
    - ได้รับยาเม็ดคุมกำเหนิด
    - Chronic active hepatitis
    - Acute intermitten porphyria
    - ผู้ป่วยเอดส์
    - มะเร็งปอดชนิด oat cell
    - กรรมพันธุ์

    2. Free thyroid hormone ในภาวะที่มี TBG ผิดปกติ  การใช้ free thyroid hormone สามารถที่จะบอกถึงระดับฮอร์โมนที่ถูกต้องได้ดีกว่า total form
    3. การวัดระดับของ TSH   TSH ใช้ในการวินิจฉัยความผิดปกติของต่อม thyroid เป็นเวลานาน  ระดับของ TSH จะมีค่าสูงในภาวะ  primary hypothyroidism  ต่อมาเมื่อการวัดระดับของ TSH มีความไวมากยิ่งขึ้น จึงนำมาใช้ในการวินิจฉัยภาวะ hyperthyroidism ได้ด้วยซึ่งพบว่ามีค่าต่ำ
    กลไกการควบคุมการหลั่ง thyroid hormone
          ปกติการทำงานของต่อม thyroid ตั้งแต่การสร้างตลอดจนถึงการหลั่งฮอร์โมนถูกควบคุมโดยฮอร์โมนTRH และ TSH     โดยไฮโปทาลามัสจะหลั่ง TRH มากระตุ้นต่อมใต้สมองส่วนหน้าให้หลั่ง TSH  ไปกระตุ้นต่อม thyroid ให้หลั่ง T4 และ T3   เมื่อ T4 และ T3 มีระดับเพียงพอก็จะกลไกป้อนกลับ(feedback) ยับยั้งการหลั่งฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองส่วนหน้าและไฮโปทาลามัส
    การขนส่งและเมตาบอริสมของ thyroid hormone
          T4 และ T3  ในร่างกายส่วนใหญ่ เป็น extra-thyroidal  มันจะอยู่ในรูปของ bound form คือจะจับกับ specific binding protein ที่สำคัญ 2 ตัว คือ TBG และ TBPA       โดย TBG เป็น glycoprotein ที่มีน้ำหนักโมเลกุล 50,000 จะจับกับ T4 และ T3  ด้วย affinity ที่มากกว่า TBPA ถึง 100 เท่า   และสามารถจับกับพลาสม่าได้ถึง 20  ug/dl  ภายใต้สภาวะปกติ TBG  จะจับกับ  T4 และ T3 ในพลาสม่าเกือบทั้งหมดแบบ noncovalent

    Total hormone
    ug/dl
    free hormone
    half-life in
    blood (days)
    % of total
    ng/dl
    molarity
     
    T4   =   8
    0.003
    2.24
    3.0 x 10-11
    6.5
     
    T3  = 0.15
    0.3
    0.4
    0.6x10-11
    1.5

              การวัด TBG ทำให้ทราบถึงหน้าที่ของ thyroid hormone    เนื่องจากการหาค่าของ T3  และ T4  เป็นการหาปริมาณทั้งหมดในพลาม่ามากกว่าเป็นการหาฮอร์โมนอิสระ        TBG ถูกสร้างขึ้นในตับและการสร้าง TBG จะเพิ่มขึ้นในสภาวะที่ร่างกายมี estrogen สูง   เช่น ในขณะที่ตั้งครรภ์หรือในคนที่ได้รับยาคุมกำเหนิด   แต่ถ้าให้ฮอร์โมน androgen หรือ glucocorticoids         หรือในโรคตับบางชนิด  จะทำให้การสร้าง TBG  ลดลง   ภาวะเหล่านี้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง T3 และ T4   โดยไม่เปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมนอิสระ    มีสารประกอบหลายอย่าง  เช่น phenotoin และ salicylates   จะแย่ง  T4 และ T3   จับกับ TBG     การที่ระดับของปริมาณฮอร์โมนทั้งหมดลดลง  โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนอิสระนั้น  ต้องถูกนำมาพิจารณาให้ดีเมื่อมีการแปลผลในการทดสอบต่างๆ
                 เนื่องจาก T3  จับกับ  thyroid recepters  บนเซลล์เป้าหมายด้วย  affinity ที่สูงกว่า  T4  ถึง 10 เท่า จึงถือว่า T3 เป็น active form ประมาณ 80 %  ของ T4  ถูกเปลี่ยนไปเป็น T3  หรือ reverse T3(rT3)   ในกระแสเลือด     rT3 เป็น agonist  ที่อ่อนมากจะถูกสร้างขึ้นมามากในภาวะที่เป็นโรคเรื้อรัง   เมื่อมีการขาดคาร์โบไฮเดรตและใน fetus

    ความผิดปกติของต่อมธัยรอยด์มี  3  กลุ่ม  ได้แก่

    1.  Hypothyroidism      คือ  อาการผิดปกติของต่อม   ที่มีระดับฮอร์โมนของต่อมธัยรอยด์น้อยเกินไป  โรคที่พบบ่อยได้แก่  primary hypothyroidism ,  secondary hypothyroidism
    2.  Euthyroid    คือ  ต่อมธัยรอยด์ทำงานมากกว่าธรรมดา   ต่อมจึงใหญ่ขึ้น  จนเป็นคอพอก(goiter)   มักพบในสาวรุ่นหรือสตรีขณะตั้งครรภ์    เมื่อต่อมสร้างฮอร์โมนพอใช้งานแล้วก็จะทำงานลดลง     จึงไม่พบระดับฮอร์โมนผิดปกติ  เช่น  คอพอกธรรมดา (simple goiter)
    3.  Hyperthyroidism หรือ   thyrotoxicosis  คือ อาการผิดปกติของต่อมธัยรอยด์เป็นพิษที่เกิดจากมีฮอร์โมนของต่อมธัยรอยด์มากเกินไป  โรคที่พบบ่อยได้แก่  Graves' disease , multitoxic nodular goiter(Plummer's disease) 

    ตัวอย่างการแปลผล thyroid function ที่ไม่ตรงไปตรงมา
    อ้างอิงจาก http://www.medtechzone.com/knowledge/thyroid.php
                       http://www.phimaimedicine.org/2009/12/121-38-hyperthyroid-1.html

    กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF)

    RMF ย่อมาจากคำว่า Retirement Mutual Fund หรือเรียกในชื่อไทยว่า “กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ” เป็นกองทุนรวมประเภทหนึ่ง (กองทุนรวม หมายถึงการนำเงินของผู้ลงทุนหลาย ๆ คนมารวมกัน แล้วมีมืออาชีพ ซึ่งก็คือบริษัทจัดการ คอยบริหารจัดการเงินตามนโยบายการลงทุนที่กำหนดไว้) ซึ่งมีวัตถุประสงค์พิเศษแตกต่างจากกองทุนรวมทั่วไป คือ RMF เป็นเครื่องมือหนึ่งในการสะสมเงินไว้ใช้ในวัยเกษียณ ที่ทางการให้การสนับสนุนสิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่ผู้ลงทุนเพื่อเป็นแรงจูงใจ
                   RMF เหมาะกับคนทุกกลุ่มที่ต้องการออมเงินเพื่อวัยเกษียณ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่ยังไม่มีสวัสดิการออมเงินเพื่อวัยเกษียณ เช่น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) มารองรับ หรือมีสวัสดิการดังกล่าว แต่ยังมีกำลังออมเพิ่มมากกว่านั้นอีก

                          นโยบายการลงทุนของ RMF
                          ข้อแตกต่างของ RMF จากกองทุนรวมทั่ว ๆ ไป
                           เงื่อนไขการลงทุนของ RMFเพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี
                           สิทธิประโยชน์ทางภาษีของ RMF 
                           ลักษณะการผิดเงื่อนไขการลงทุนของ RMF
                           Checklist ก่อนลงทุนใน RMF
    นโยบายการลงทุนของ RMF  มีให้เลือกหลากหลายเหมือนกองทุนรวมทั่วไปตั้งแต่กองทุนที่มีระดับความเสี่ยงต่ำ เน้นลงทุนในตราสารหนี้ เช่น พันธบัตร กองทุนที่มีระดับความเสี่ยงปานกลาง  ที่อาจผสมผสานระหว่างการลงทุนในตราสารหนี้และตราสารทุน ไปจนถึงกองทุนที่มีระดับความเสี่ยงสูง เน้นลงทุนในตราสารทุน เช่น หุ้น ใบสำคัญแสดงสิทธิการซื้อหุ้น (warrant)
    ข้อแตกต่างของ RMF จากกองทุนรวมทั่ว ๆ ไป ดังนี้
    1.  หากลงทุนครบตามเงื่อนไขจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี
    2.  ไม่สามารถโอน จำนำ หรือนำหน่วยลงทุนไปเป็นหลักประกันได้
    3.  ไม่มีการจ่ายเงินปันผล
    เงื่อนไขการลงทุนของ RMFเพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี มีดังนี้
    • ต้องสะสมเงินอย่างต่อเนื่องโดยซื้อหน่วยลงทุนของ RMF ไม่น้อยกว่าปีละ 1 ครั้ง
    • ต้องลงทุนขั้นต่ำ 3% ของเงินได้ในแต่ละปี หรือ 5,000 บาท (แล้วแต่ว่าจำนวนใดจะต่ำกว่า) 
    • ต้องไม่ระงับการซื้อหน่วยลงทุนเกินกว่า 1 ปีติดต่อกัน (ยกเว้นปีใดที่ไม่มีเงินได้ ก็ไม่ต้องลงทุน เนื่องจาก 3% ของเงินได้ 0 บาท เท่ากับ 0 บาท)
    • การขายคืนหน่วยลงทุนทำได้เมื่อผู้ลงทุนอายุไม่ต่ำกว่า 55 ปี และลงทุนมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี
     

    Top
    สิทธิประโยชน์ทางภาษีของ RMF 
    หากปฏิบัติตามเงื่อนไขการลงทุน ผู้ลงทุนใน RMF จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีถึง 2 ทางด้วยกัน คือ
    ทางที่ 1 เงินซื้อหน่วยลงทุนใน RMF จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 15 % ของเงินได้ในแต่ละปี โดยเมื่อนับรวมกับเงินสะสมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) แล้ว ต้องไม่เกิน 500,000 บาท
    ทางที่ 2 กำไรจากการขายคืนหน่วยลงทุน (capital gain) ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ หากลงทุนมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี





    ลักษณะการผิดเงื่อนไขการลงทุนของ RMF มีดังนี้
    1. ระงับการซื้อหน่วยลงทุนเกินกว่า 1 ปีติดต่อกัน หรือ
    2. ลงทุนขั้นต่ำไม่เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ หรือ
    3. ขายคืนหน่วยลงทุนก่อนที่ผู้ลงทุนจะอายุครบ 55 ปี หรือ
    4. ขายคืนหน่วยลงทุนก่อนที่จะมีการลงทุนครบ 5 ปี
                 
                   ทั้งนี้ หากเป็นไปตามข้อใดข้อหนึ่ง ก็ถือว่าผิดเงื่อนไขการลงทุนแล้ว ยกเว้นกรณีที่ผู้ลงทุนเสียชีวิตหรือทุพพลภาพ ทำให้ไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขดังกล่าว จะไม่ถือว่าผิดเงื่อนไขการลงทุน
     


    Top

    เมื่อการผิดเงื่อนไขการลงทุนแล้ว ผู้ลงทุนจะไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีอีกต่อไปและต้องดำเนินการ ดังนี้

    1.กรณีที่ลงทุนไม่ถึง 5 ปี และมีการผิดเงื่อนไข
    • ต้องคืนเงินภาษีที่ได้รับยกเว้นไปในช่วง 5 ปีย้อนหลัง (นับตามปีปฏิทิน) 
    • เมื่อขายคืนหน่วยลงทุน ต้องจ่ายภาษีของกำไรส่วนเกินทุน (capital gain) โดยนำกำไรที่ได้รับจากการขายคืนไปรวมเป็นเงินได้ของปีที่ขายคืนเพื่อเสียภาษีเงินได้ ซึ่งในทางปฏิบัติเมื่อผู้ลงทุนขายคืน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมจะหักภาษี ณ ที่จ่าย 3% ของกำไรส่วนเกินทุนไว้ก่อน และเมื่อผู้ลงทุนไปยื่นแบบเสียภาษีเงินได้ ก็จะคำนวณอีกครั้ง ว่าจะต้องจ่ายเงินภาษีเพิ่มอีก หรือไม่ อย่างไร
    2. กรณีที่ลงทุนตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป และมีการผิดเงื่อนไข
    • ต้องคืนเงินภาษีที่ได้รับยกเว้นไปในช่วง 5 ปีย้อนหลัง (นับตามปีปฏิทิน)
                     การชำระภาษีตาม 1. และ 2. ต้องชำระภายในเดือนมีนาคมของปีถัดจากปีที่ผิดเงื่อนไข และ/หรือ ขายคืนหน่วยลงทุน










     Top






      Checklist ก่อนลงทุนใน RMF มีดังนี้     
                   

     ตอบตัวเองว่าต้องการออมเพื่อวัยเกษียณ
    มีวินัยในการออมอย่างสม่ำเสมอ ต่อเนื่อง และระยะยาว
    รู้จักตัวเอง-รู้ว่ามีเป้าหมายการลงทุนเป็นแบบใด สามารถออมเงินได้มากน้อยเพียงไร และยอมรับความเสี่ยงในการลงทุนได้ขนาดไหน
    รู้จักผลิตภัณฑ์-รู้ว่านโยบายการลงทุนของ RMF ที่สนใจจะลงทุนเป็นอย่างไร เช่น มีความเสี่ยงต่ำ ปานกลาง หรือสูง 
    พิจารณาผลงานของบริษัท คุณภาพในการให้บริการ รวมทั้งการคิดค่าธรรมเนียมจัดการและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ
    เลือกลงทุนใน RMF ที่เหมาะสมกับตัวคุณ ทั้งนี้ อย่าลืมใช้หลักการกระจายความเสี่ยงในการลงทุน ที่ว่า “อย่าใส่ไข่ไว้ในตะกร้าใบเดียว” ประกอบการลงทุนด้วย
    หากไม่ทราบว่าจะเริ่มต้นอย่างไร สามารถหาข้อมูลได้จาก Call Center สมาคมบริษัทจัดการลงทุน http://www.aimc.or.th/ และ http://www.thaimutualfund.com/ โทร. 0-2264-0900-4 กด 6 ซึ่งจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับกองทุนรวมได้เป็นอย่างดี




    อ้างอิงจาก http://www.sec.or.th

    ภาษี หมอ ตัวน้อยๆๆ

    สวัสดีอีกรอบนะครับ พี่น้อง ชาวเสียภาษีเยอะทั้งหลาย :suhok:

    ตอนนี้ก็ปลายปีแล้ว เพื่อนๆ ที่อยู่ตามโรงพยาบาลชุมชนคงกำลังคิดภาษีอยู่ใช่ไหมครับ ว่าเราจะเสียเท่าไหร่ปีนี้ :huh:
    ถ้าใครยังไม่ได้ คิด ไม่ได้หัก ณ ที่จ่ายไว้ เตรียมตัวเลย จ่ายบานครับ แค่ เงินได้ทั้งปี(ก็เงินเดือน+OT โรงบาลรัฐ+ทุกอย่างที่ได้จากรพช.) ก็ปาอย่างต่ำ มากกว่า 600,000-700,000 บาทแล้ว ถ้าไม่ทำอะไรเลยกับเงินก้อนนี้ ลองคิดดูนะครับว่าจะต้องเสียภาษีเท่าไหร่ :sweat: :sweat: :sweat: :sweat: :sweat:

    ถ้าเราหักที่หักได้กันทุกคนคือ ค่าใช้จ่าย(<40%,ไม่เกิน60,000)+ค่าลดหย่อนในกรณีโสด(30,000 บาท) = 90,000 บาท เอาไปลบออกจากเงินได้ทั้งปี สมมติแล้วเหลือ 600,000 บาท(จะได้ง่ายๆ)นะครับ เราจะต้องเสียภาษีจากเงิน6แสนนี้ คือ 55,000 บาท! ซึ่งตอนintern 1 มีการหัก ณ ที่จ่ายไว้ เราเลยไม่เดือนร้อน แถมยังได้คืนเพราะ เขาหัก ณ ที่จ่ายเกิน และต้องไม่ลืมว่าเราทำงานประมาณ 7-8 เดือนเท่านั้น ดังนั้น intern 1 เลยไม่ต้องมากังวลเรื่องภาษีมาก แต่intern 2 ไม่เป็นอย่างนั้นแล้วครับ เพราะอะไร
    1. บางโรงพยาบาลไม่ได้หัก ณ ที่จ่าย (ต้องระวังครับ)
    2. ทำงานเต็มปีภาษีครับ 12 เดือน
    3. ตรวจสอบได้แน่ๆ ครับ เนื่องจากเงินทางรัฐนี้
    ดังนั้นปีนี้รับกันเต็มๆ ครับ :OhNo:

    เอาหล่ะครับการคิดภาษีเขาคิดอย่างไร(สำหรับคนที่ไม่แน่ใจนะครับ ผิดถูกยังไงบอกด้วย) :good:
    จากการคิดภาษีคือ คิดจากเงินได้ 12 เดือน มารวมกันครับ ได้เท่าไหร่ เอาไปหักดังนี้(กรณีโสด,ไม่มีลูก,พ่อแม่อายุน้อยกว่า 65ปี )
    1. ค่าใช้จ่าย ไม่เกิน  60,000 บาท
    2. ค่าลดหย่อนผู้มีเงินได้ 30,000 บาท

    สมมติเหลือ จากหักดังกล่าว 600,000 บาทเวลาคิดคือ
    1 - 150,000 บาท เป็นเงิน 150,000บาท ได้รับยกเว้นไม่เอามาคิด(ดังนั้น คนที่เงินเดือน 12 เดือน ประมาณน้อยกว่า 200,000 บาท ไม่ต้องมากลุ้มใจเรื่องภาษี)

    150,001 - 500,000 บาท ต่อไป เป็นเงิน  350,000 บาท คิดที่ 10% ของ 350,000 บาท ดังนั้น จะต้องเสียภาษี 35,000 บาท

    500,001 - 1,000,000 บาทต่อไป เป็นเงิน 100,000 บาท คิดที่ 20% ของ 100,000 บาท ดังนั้นเสียภาษีอีก 20,000 บาท
    สิริ รวมแล้วคิดภาษีจากเงินได้หักค่าใช้จ่ายทั่วไป(600,000 บาท) เท่ากับ 55,000 บาท! ไม่ๆๆๆๆๆๆๆ :OhNo: :OhNo: 
    ขอไปสลบทำใจก่อน.................... :her:

    ฟื้นแระ มาต่อกัน :listen:

    จะเห็นว่าเงินนั้น เราต้องทำงานฟรี 1 เดือน เลย จะคุ้มไหม ต้องมาโดนคนไข้ ดูถูก เหยียดหยาม เป็นพนักงาน seven ไม่ให้เกียรติแห่งวิชาชีพ(แล้วแต่ใครจะรู้สึกมากน้อย)บอกความจริง ข้อเท็จจริง ก็โกรธว่าหมอขี้งกยา ใจดีให้ทุกอย่างเราก็รู้สึกผิดเพราะ มันไม่ถูกหลักวิชาการ ถ้าตอนเรียนเราโดนด่าแน่ๆ แต่ทำไงได้ท่านคนไข้ต้องการนี้ เอออยากได้อะไรก็เอาไปละกัน (ไม่ใช่เงินเราไม่อยากหวงหรอก) :youdead:
    เราจะทำไงดีเพื่อเสียภาษีน้อยที่สุด ถูกกฎหมายที่สุด ทำได้ครับ จะให้เสียจาก 55000 เหลือเสียภาษี 0 บาทก็ได้ถ้า "ใจ" พอ :Oh:

    เป็นรูปสิทธิการลดหย่อนที่"ถูกกฎหมายครับ"
    สิทธิลดหย่อนของแต่ละคนมีดังนี้
    1.เมีย 1 คน(ไม่สนใจเพราะ เหมือนไม่ได้ลดหย่อน มีสองคนไม่ได้สิทธิลดหย่อนเพิ่ม แถม อายุสั้นด้วย) :pink:
    2. ลูก 2 คน(มีลูกเพื่อลดหย่อนภาษี บ้าป่าว มี10 คน ไม่ได้สิทธิเพิ่ม แถม จนอีกตะหากเมียโทรมด้วย) ;;yom;;
    3. บิดามารดา(อันนี้ต้อง อายุ เกิน 60 ปี และ ไม่มีรายได้เกิน 30,000 บาทนะ คิดว่าก็ไม่ช่วยอะไรเท่าไหร่) ;;unexpected;;
    4. เบี้ยประกันชีวิต 10 ปีขึ้นไป(อันนี้สนับสนุนให้ทำเพราะ เราไม่รู้วันตายครับ ทำไปเหอะ ขอร้องละ คนที่บ้านจะได้สบาย เดี๋ยวรายละเอียดจะว่ากันอีกที) :dead:
    5. การจ่ายในปีนั้นๆ เพื่อกบข., ประกันสังคม, กองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่เอกชนตั้งขึ้นถูกกฎหมาย(ก็ต้องจ่ายอยู่แล้วทุกคนมากน้อยแล้วแต่คน) :thank:
    6. ดอกเบี้ยกู้ยืมในปีนั้นๆ(เอาดอกเบี้ยมาลดหย่อนครับ ใครผ่อนบ้าน ตึก condo เอาดอกเบี้ยทั้งปีมาหักได้ ไม่เกิน 100,000 บาท เดี๋ยวรายละเอียดจะว่ากันอีกที) ;;jabokhai;;
    7. การซื้อในปีนั้นๆ LTF (อันนี้เด็ด เดี๋ยวมาบอกต่อ) :puadhua:
    8. การซื้อในปีนั้นๆ RMF (ถ้าคิดว่าอายุยืน ถึง 55 ปี ก็ซื้อครับ) ;;zen;;
    9. การบริจาค ในปีนั้นๆ(ถ้าเป็นดารา อยากทำบุญได้กุศล แถมดูดี ก็ทำไม่เหอะ แต่เงินหายนะไม่ได้คืน แนะนำทำตามสมควร แต่ไม่อยากบอกเลยว่า มันใส่ตัวเลขอะไรก็ได้บริจาค 5000 ใส่ 20000 ก็ได้) :yom:
    10. การซื้อประกันให้พ่อแม่(ก็ดีครับ แต่ส่วนใหญ่ท่านทำอยู่แล้ว แต่ให้ท่านช่วยเราได้ คืออะไร เดี๋ยวมาบอก) :good:

    ทุกอย่างนี้ ถ้าคนที่บ้านรวย พ่อแม่ รวย หรือ มีคนช่วยจะทำให้เสียภาษี 0 บาท ได้แน่ครับ เดี๋ยวมาต่อนะ ไป ultrasound for pt wanted ก่อน

    การลดหย่อนภาษีดีอย่างไรดีตรงนี้ครับ  :huh:

    คือ ลดอัตราการคิดภาษีครับเพราะ จากที่เห็น ถ้า เงินได้ทั้งปี น้อยกว่า 500,000 บาท(499,999) เสียที่ 10%
    แต่ถ้าส่วนที่เกิน 5แสนต้องเสีย 20% ซึ่งมากกว่ากัน 2 เท่า ดังนั้น การลดหย่อนคือ ต้องหาอะไรก็ตามมาหักให้ต่ำกว่า 5 แสนเข้าไว้ เช่น การซื้อประกัน LTF RMF เป็นต้น :tea:

    สมมติว่าเราซื้อ LTF 100,000 บาท(แต่ความจริงได้แค่ 90,000 บาท เพราะไม่เกิน 15%ของ 600,000 สมมติเอาให้ง่าย) ; ; หักได้ 600,000 -100,000(LTF) = 500,000 เท่านี้เราก็เสียภาษีแค่ 35000 บาทเท่านั้น ประหยัดเงินได้ ถึง 20,000 บาททีเดียว  นี้เป็นตัวอย่างนะครับ :good:

    แต่บางคนอาจคิดว่า อ่าวแล้วเงิน 1แสนที่เอาไปซื้อLTF มันก็เหมือนเราไปเงินไปจมซิ เราก็ไม่ได้ใช้เงิน 1 แสนนี้ไปจับจ่ายซิ แค่ยอมเสีย 2 หมื่น แต่ได้ตังค์มาใช้ 80,000 บาท ไม่ดีกว่าหรือ ไม่ต้องเอาเงินไปจมตั้ง 5 ปี(3ปีกว่า) :puadhua:
    ขอตอบว่าคิดอย่างนั้นก็ได้ครับ ถ้าจำเป็นต้องใช้เงิน 8 หมื่นนี้ เช่น ซื้อบ้านซื้อรถเราก็ไม่ว่า แต่ขอให้จำเป็นจริงๆนะ ไม่ใช่มีอยู่แล้วอยากได้คันใหม่ อันนี้ผมว่าไม่คุ้มนะ :chok:

    ในเรื่องการลดหย่อนภาษีนั้น เงิน 2 หมื่นที่ต้องเสียเพิ่มถ้าเราไม่ทำการลดหย่อน เราคิดว่าเงิน2หมื่นหามาได้ง่ายๆ ไม่เสียดายก็ตามใจครับ ไม่ต้องอ่านข้อความต่อจากนี้ รอให้สรรพากร เอาเงินเราไปให้นักการเมืองถลุงใช้ต่อไปมีความสุขดีเนอะ (ดูข่าวทุกวันนี้ก็ช้ำใน เจ็บใจ เอาเงินภาษีเราไม่ทำอะไรก็ไม่รู้ รถไฟฟ้าก็ไม่ได้ใช้ แต่เห็นสร้างกันจัง ประเทศไทยไม่ใช่แค่กรุงเทพนะครับ) :baileung:

    ขอบอกก่อนเลยว่า(จะกล่าวโดยละเอียดทีหลัง) LTF ที่ซื้อนั้น เป็นการออมการลงทุน ครับ เงินทุกบาทที่ซื้อ LTF จะเข้ามาหาเราครับ ไม่ต้องเสียให้ใครเลย เป็นการออมระยะกลาง 5 ปี สามารถขายคืนได้โดยไม่ต้องเสียภาษีแต่อย่างใด ดังนั้นเหมือนเราออมเงิน 1 แสน ได้ภาษีคืนมา 20000 บาททันที ต่อปีนะครับ กำไร20%ทันที ครับพี่น้อง คิดดูเราเอาเงิน 1 แสนไปลงทุนอะไรแล้วได้ 2 หมื่นบาทบ้างในสภาวะปัจจุบัน ยากมากครับ แถมยังไม่พอนะครับ LTF แบบจ่ายปันผลก็มีถ้าเราซื้อเก็บไว้เราจะได้เงินปันผลทุกปีครับ ปีละ 2 ครั้ง และเราต้องไม่ขายทิ้งเลย เพราะ เป็นการออมอย่างหนึ่ง เราไม่จำเป็นต้องใช้เงินก้อนนี้ เราก็ไม่ขาย สามารถรับปันผลได้ตลอดชีวิตครับ :im:
    แต่มีคนถามว่า LFT ลงทุนในหุ้นไม่ใช่หรือ แล้วถ้าหุ้นตกเราไม่ขาดทุนหรือ ขอตอบว่า ครับ หุ้นตกเราขาดทุน แต่นี้คือ เงินออมการลงทุน ครับ เราไม่ขายไม่เจ๊ง อีกอย่าง LTF มีให้เลือกหลายอย่างครับ เลือกเอาที่ความเสี่ยงต่ำๆ ก็ได้ เวลาหุ้นลงจะได้ไม่เจ็บตัว อีกอย่าง การซื้อ LTF ทะยอยซื้อได้รับ ตอนไหนเห็นหุ้นตกเยอะๆ เราก็ค่อยซื้อครับ ของถูกเพียบ หุ้นตกไม่ได้หมายถึง กิจการนั้นเจ๊งนะครับ หุ้นตกแต่ปันผลจ่ายเยอะก็มีครับ เลือกเอา หุ้นตกเป็น demand supple ครับ ไม่ใช้กิจการเจ็ง แต่ก็ต้องเลือกดีๆ   :listen:
    แล้วอีกอย่างหุ้นมันไม่ได้ตกตลอดครับ มีลงก็ต้องมีขึ้นครับ สบายใจได้ถ้าเราคิดซะว่านี้คือการบังคับออม ได้เงินจากภาษีแค่นี้ก็คุ้มแล้ว เราจะสบายใจครับ :tea:

    ถ้าเราไม่ซื้อ LTF เราสามารถซื้อประกันชีวิตได้ครับ อันนี้ผมแนะนำอย่างยิ่ง ควรทำ ควรเอาไปลดหย่อนเป็นอย่างแรก เพราะ อะไรหรือครับ :her:

    เพราะว่า
    1. ลดหย่อนได้ครับ 100,000 บาท ทีเดียว(แต่เราไม่ต้องทำเป็นแสนก็ได้ครับ เอาที่เหมาะสม มีให้เลือกเยอะแยะไปหมด)
    2. ตายวันไหนเราไม่รู้ครับ ทำไว้ให้คนที่เรารักครับ จะได้ไม่เดือนร้อน(ส่วนใหญ่ทุนประกัน เป็นล้าน สบายๆ)
    3. เกิดอุบัติเหตุเราได้เงินครับ ไม่ต้องเสียเงิน
    4. เป็นการออมครับ ถ้าเราทำประกันเราก็ต้องทำทุกปีอยู่แล้วพอทำทุกปีครบกำหนดเราจะได้เงินคืนทั้งหมดครับ
    5. ได้ประหยัดภาษี 20,000 บาท (เงินได้600000 ซื้อประกัน 100000 บาท)
    6. ได้เงินคืนเป็นปันผลอีกทุกปี
    7. ถ้าเราจ่ายประกันดี บางเจ้าให้กู้เงินทำธุรกิจได้อีก
    8. คุ้มครองทันทีเมื่อจ่ายเงินงวดแรก จ่ายเสร็จ โดนยิงก็จ่ายเป็นเงินสดทันทีครับ
    9. ถ้าจ่ายไปได้3 ปี รถชน paraplagia เราทำงานไม่ได้ เขาจะไม่เก็บเบี้ยประกันครับ แต่คุ้มครองเหมือนเดิมจนหมดสัญญา ถ้าตายในระหว่างสัญญา ก็จ่ายเต็ม(ไม่ใช่อุบัติเหตุก็จ่าย)
    10. คิดออกจะบอกอีกที

    แต่ใช่ว่าการทำประกันจะไม่มีข้อจำกัดนะ มาดูกัน :injured:
    1. ต้องจ่ายทุกปีนะครับ ห้ามขาดซึ่งเหนื่อยเหมือนกัน แต่สามารถผ่อนได้ไม่ต้องจ่ายที่เดียว เช่น 2 งวด 4 งวด 12 งวดแล้วแต่เรา
    2. ใช้เวลานานครับ ต้องจ่ายมากกว่า 10 ปี ถือว่าเป็นการออมระยะยาว
    3. ถอนออกมาใช้ไม่ได้ครับ สภาพคล่องต่ำมาก
    4. ถ้าจ่ายไม่ครบ ก็หมดสิทธิ์ครับ เวลาเขาคืนเบี้ยประกัน จะได้ไม่ครบ เพราะ ถือว่าบริษัทรับความเสี่ยงแทนเรา
    5. เราไม่ได้ใช้ครับ เงินประกันผู้รับเงินประกัน(ญาติ)เป็นคนรับเงินแทนเรา :GIHge:
    6. เงินเบี้ยประกัน ผลตอบแทนที่จ่ายคืนทุกปี สู้อัตราเงินเฟ้อไม่ได้ เหมือนเอาเงินไปจม ดังนั้น ไม่เหมาะแก่การเก็งกำไร
    ดังนั้น ใครคิดว่า ซื้อเพื่อลงทุน ผมคิดว่าไม่คุ้ม แต่ถ้าซื้อเพื่อลดหย่อนภาษี และ ประกันความเสี่ยงในชีวิต ถือว่าคุ้มครับ :tea:
    7. ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่จะเรียนต่อแล้วใช้วิธีนี้ ลดภาษีเพราะ เวลาไปเรียนจะส่งไม่ไหว ต้องเก็บเงินเผื่อไว้ ขณะใช้ทุนอยู่ เช่น จะเรียน4 ปี ก็เก็บ 70,000*4 = 280,000 บาทภายใน 3 ปีที่ใช้ทุน + ซื้อประกันระหว่างเป็น intern รวมเป็น 280,000 + 3*70,000 = 490,000 บาท
    เห็นหรือยัง ต้องเก็บนิ่งๆ 490,000 บาทภายใน 3 ปีทีเดียว หนักนะนั้น วิธีแก้ ของAIA จะมีแบบจ่ายรายเดือน ประมาณ 600 บาท ที่พิเศษคือเอามาลดหย่อนภาษีได้เมื่อสิ้นปี ซื้อกี่ชุดก็ได้ จะได้สิทธิลดหย่อนตามที่จ่าย :skipj:
    เอาของตัวเองเป็นตัวอย่างนะครับ :huh: ผิดถูกอย่างไรผู้รู้ช่วย comment หน่อย
    เงินได้ 12 เดือน คือ  70000 * 12 = 840,000 บาท
    เสียภาษีถ้าไม่ได้ทำอะไรเลย คือ
    840,000 - 60,000 - 30,000  = 750,000 บาท
    (150,000 * 0%) + (350,000*10%) + (250,000*20%) =
    0 + 35,000 + 50,000 = 85,000 บาท!!!!! :OhNo: :OhNo: :OhNo:

    ควรหาลดหย่อนเท่าไหร่ ก็คือ 250,000 บาท
    กรณีของผม ได้ลดหย่อนจาก
    1. ดอกเบี้ยส่งบ้าน ไม่เกิน 100,000 บาท(เกินอยู่แล้ว ส่งตั้ง 46500 ต่อเดือน)
    2. ซื้อประกัน 64500 บาทต่อปี(หาร 12 ตกเดือนละ5000 กว่าบาท)
    เหลือ 750,000 - 100,000 - 64,500 = 585,500 บาท ยังเกิน 85,500 บาท ก็เอาไปถยอยซื้อ LTF เดือนละ 7200 บาท เท่านี้เราก็เสียภาษี เพียง 35,000 บาท ประหยัดภาษีได้ 50,000 บาท ทีเดียว

    แต่ดูนี้ 840,000 - 64,500(ประกัน) - 85,500(LTF) - 35,000(จ่ายภาษี) เหลือใช้เพียง 655,000 บาทต่อปี(กัน 185,000 บาทเพื่อจ่ายสิ่งเหล่านี้หรืออีกนัยนึง คือ ต้องมีเงินเก็บก่อนสิ้นปี 185,000 บาท) หรือ มีเงินเดือนเหลือใช้อยู่ 655,000/12 = 54,584 บาทต่อเดือน สรุปว่าเราต้องเก็บเดือนละ 70,000-54,584 = 15,416 บาทเป็นอย่างน้อยถึงจะได้ตามแผน แต่เดี๋ยวก่อน ผมยังต้องผ่อนบ้าน + รถอีก 46,500 + 5,000 = 51,500 บาท ทำให้เหลือเงินกินข้าวเพียง 54,584 - 51,500 = 3,084 บาทเท่านั้น!!!! :OhNo: :OhNo: :OhNo:

    ทำไงดีเนี้ย

    ทางออกคือ ประหยัด ครับใช้วันละ 100 บาท และ หารายได้เพิ่ม ก็คงเป็นรับเวรนอกบ้าง ค่าเช่าบ้านบ้าง ถ้าโชคดีตลาดหุ้นกลับมาดี ขายคืนไม่ขาดทุน ก็เอาเงินขายหุ้นมาซื้อก็ถ้าจะดีเหมือนกัน

    แต่ปัญหาทั้งหมดนี้มีทางแก้ครับ ทำไง
    ขอบุพการีครับ เพราะ ไม่ต้องเสียภาษีให้โดยเสน่หาไม่มีบิล(เป็นเงินเก็บพ่อแม่) ยืมเงินมาซื้อประกัน เราตายท่านได้คืนมากกว่าเดิมหรือ ครบกำหนดก็ได้คืนพร้อมดอก, ยืมมาซื้อ LTF รอ 5 ปีก็ได้คืนพร้อมปันผล เงินท่านไม่หายไปไหน ยกเว้นโดนลูกชักดาบ บาปกรรมๆ :namo:

    ถ้าคิดแนว hardcore ก็หาลดหย่อนให้เหลือ 150,000 ซิ ก็คือ 750,000-150,000 = 600,000 บาท
    ทำไงให้หาลดหย่อน 600,000 บาท ทำโดย
    100,000(ประกัน) + 0.15 ของ 750,000(LTF=112,500) + 0.15 ของ 750,000(RMF=112,500) + 100,000(ดอกเบี้ยผ่อนบ้าน) เหลือคิดภาษี = 175,000 บาท เป็นภาษีที่ต้องจ่าย 17,500 บาท
    แต่เรางกครับทำไงดีจะลดหย่อนได้อีก(ขอกลับไปคิดก่อน  คิดออกแล้วจะมาบอกอีกที) :huh:
    จะเห็นว่า ถ้าบ้านรวย ก็ได้เปรียบ ทำให้คนที่รวยยิ่งรวยขึ้นไปอีก

    โอ้ย จ่ายๆ ไปเหอะ 17,500 บาทเองงกทำไม  ;;heu;; จะได้เอาไปทำรถไฟฟ้า ที่ทั้งชีวิตอาจได้ขึ้นแค่ครั้งเดียว :superngeud:
    อ้างอิงจาก http://www.med4407.com/forum/index.php?topic=341.100

    Popular Posts